ขณะที่ผู้นำประเทศทั่วโลกกำลังรวมตัวหารือในที่ประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (UN Climate Change Conference) หรือ COP30 กลางป่าแอมะซอน ในเบเลง ประเทศบราซิล รายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ได้ส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในทศวรรษว่า “โลกอาจไม่สามารถจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสได้อีกต่อไป”
รายงานล่าสุด Global Carbon Budget 2025 ระบุว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก 1.1% ในปีหน้า แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 381 ,000 ล้านตันของ CO₂ ซึ่งเท่ากับโลกกำลังเร่งใช้ “งบประมาณคาร์บอน” ที่เหลืออยู่ในอัตราที่อันตรายสุดๆ
“เวลาเหลือ 4 ปี” ก่อนโลกแตะขีดจำกัด 1.5°C ถาวร
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากมหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ และองค์กรวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า โลกเหลือโควตาการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 170,000 ล้านตัน หากต้องการรักษาอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5°C จากยุคก่อนอุตสาหกรรม
ศาสตราจารย์ ปิแยร์ ฟรีดลิงชไตน์ ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่ากับการปล่อยในอัตราปัจจุบันเพียง 4 ปี ก่อนจะหมดงบประมาณคาร์บอนโดยสิ้นเชิง “จึงเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะคงเป้าหมาย 1.5 องศาไว้ได้ เว้นแต่โลกจะลดการปล่อยอย่างฉับพลันและรุนแรงในทศวรรษนี้”
รายงานยังชี้ว่า แม้พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลมจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่สามารถชดเชยความต้องการพลังงานโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง

ภาพรวมโลก การปล่อยคาร์บอนยังไม่ถึงจุดสูงสุด
ข้อมูลจากรายงานเผยว่า ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ยังคงเป็นแรงขับสำคัญของการปล่อยคาร์บอน
จีน แสดงสัญญาณทรงตัวของการปล่อย โดยเฉพาะจากถ่านหิน ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าพลังงานหมุนเวียนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป กลับมีการปล่อยเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา จากราคาก๊าซที่สูงและอากาศหนาวจัด ทำให้โรงไฟฟ้าหันกลับไปใช้ถ่านหิน
อินเดีย แม้การปล่อยยังเพิ่มขึ้น แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากการขยายพลังงานหมุนเวียนและสภาพอากาศมรสุมที่เป็นใจ
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า โลกโดยรวม “ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของการปล่อยคาร์บอน” (Peak Emission) และไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการปล่อยจะเริ่มลดลงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
“ความยั่งยืน” ที่ยังไปไม่ถึงและความหวังในแนวโน้มใหม่
แม้ภาพรวมทั่วโลกยังน่ากังวล แต่รายงาน Global Carbon Budget ก็เผยแง่มุมเชิงบวกว่า ขณะนี้มี 35 ประเทศ ที่สามารถ “ลดการปล่อยคาร์บอนลง” ได้พร้อมกับยังคงเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของเมื่อสิบปีก่อน นั่นหมายความว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่เริ่มเกิดขึ้นจริงในบางภูมิภาค
ในเวลาเดียวกัน การลดการตัดไม้ทำลายป่าและไฟป่ารุนแรงในอเมริกาใต้ช่วงสิ้นสุดปรากฏการณ์เอลนีโญ ปี 2024 ช่วยลดการปล่อยจากการใช้ที่ดินลงบางส่วน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติยังคงมีผลโดยตรงต่อสมดุลคาร์บอนของโลก

การเชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs และอนาคตของโลก
รายงานฉบับนี้สะท้อนความท้าทายโดยตรงต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะ SDG 7: พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ และ SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากโลกยังคงปล่อยในอัตราปัจจุบัน เป้าหมายทั้งสองข้ออาจถูกผลักออกไปไกลเกินกว่าจะบรรลุภายในปี 2030
“นี่คือช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจเชิงระบบ” นักวิเคราะห์ด้านสภาพภูมิอากาศชี้ “เราต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่โครงสร้างพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรมในทศวรรษนี้ มิฉะนั้นต้นทุนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะทวีคูณจนไม่มีใครจ่ายได้”
แม้คำเตือนของนักวิทยาศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตัวเลขใน Global Carbon Budget 2025 ทำให้เห็นชัดว่า “เวลาที่เหลืออยู่” นั้นไม่ใช่แนวคิดเชิงนามธรรมอีกต่อไป หากแต่เป็นความจริงทางฟิสิกส์ที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

1.5 เป้าที่เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ความหวังโลก
โลกในปี 2025 อาจเป็นปีที่เราปล่อยคาร์บอนสูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่เป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง กำลังกลายเป็นเส้นที่เลือนหายไปในกราฟของการเติบโตทางพลังงาน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง แนวโน้มของบางประเทศที่เริ่มลดการปล่อยได้โดยไม่สูญเสียการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจเป็นแสงสว่างนำทางให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงคำขวัญ หากเป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ
สุดท้าย โลกอาจไม่ได้ต้องการปาฏิหาริย์ทางเทคโนโลยี เท่ากับความมุ่งมั่นทางการเมือง ที่กล้าหยุดวงจรของการพัฒนาแบบเผาอนาคตเสียที ก่อนที่งบประมาณคาร์บอนที่เหลือจะกลายเป็นตัวเลขสุดท้ายในบัญชีสิ่งแวดล้อมโลก



