UN ชี้โลกพลาดเป้า 1.5 องศา เรียกร้อง ‘เปลี่ยนเส้นทาง’ ก่อนข้ามจุดวิกฤตภูมิอากาศ

28 ต.ค. 2568 - 06:28

  • สหประชาชาติเผยโลกพลาดเป้าหมาย 1.5°C อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ย้ำภาวะโลกร้อนกำลังเข้าใกล้จุดพลิกผัน

  • กูเตอร์เรสเรียกร้องประเทศทั่วโลก “เปลี่ยนทิศทาง” ลดการพึ่งพาฟอสซิล ก่อนแอมะซอนจะกลายเป็นทุ่งหญ้า

  • เสียงชนพื้นเมืองถูกยกเป็น “ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ” ที่ควรมีบทบาทนำในเวที COP30

UN ชี้โลกพลาดเป้า 1.5 องศา เรียกร้อง ‘เปลี่ยนเส้นทาง’ ก่อนข้ามจุดวิกฤตภูมิอากาศ

“ผลลัพธ์อันหายนะเราเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งจำเป็น” อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ (COP30) จะจัดขึ้นในเดือนหน้า ที่ประเทศบราซิล

เลขาธิการสหประชาชาติ  เตือนว่ามนุษยชาติล้มเหลวในการจำกัดภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส พร้อมเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ “เปลี่ยนเส้นทาง” ทันที ก่อนที่โลกจะเข้าสู่จุดพลิกผันทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจย้อนกลับได้ และจะนำไปสู่ผลลัพธ์ร่ายแรงต่อระบบนิเวศทั่วโลก ตั้งแต่ป่าแอมะซอน ไปจนถึงน้ำแข็งขั้วโลก และแนวปะการัง

คำเตือนจากกูเตอร์เรส ระบุว่า หากรัฐบาลทั่วโลกยังคงชะลอการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โลกอาจข้ามจุดพลิกผันทางภูมิอากาศอย่างถาวร เช่น การสูญสลายของป่าแอมะซอนที่อาจกลายเป็นทุ่งหญ้า หรือการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้

“เราต้องยอมรับในความล้มเหลวของเรา เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเกิน 1.5 องศาในไม่กี่ปีข้างหน้า และผลลัพธ์นั้นจะร้ายแรงอย่างยิ่ง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางทันทีเพื่อให้ช่วงเวลาที่เกินเป้านั้นสั้นที่สุดและเกิดผลกระทบรุนแรงน้อยที่สุด”

กูเตอร์เรส กล่าว

ปัจจุบันมีเพียง 1 ใน 3 ของประเทศสมาชิกสหประชาชาติเท่านั้นที่ส่งแผนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ หรือ NDCs เข้าตามข้อตกลงปารีส ซึ่งไม่เพียงพอต่อการลดการปล่อยก๊าซลง 60% ตามเป้าหมายที่จำเป็นต่อการคงอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศา โดยข้อมูลล่าสุดคาดว่าการดำเนินการที่มีอยู่จะลดได้เพียง 10% เท่านั้น

แม้ยอมรับว่าโลกไม่อาจหยุดยั้งเป้าหมายในระยะสั้น แต่กูเตอร์เรสยังยืนยันว่า การกลับเข้าสู่ระดับ 1.5 องศาภายในสิ้นศตวรรษยังพอเป็นไปได้ หากประเทศต่างๆ ใช้การประชุม COP30 เป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนทิศทางอย่างแท้จริง ทั้งนี้ นอกจากการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เขายังเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะกลุ่มชนพื้นเมือง ในกระบวนการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม โดยชี้ว่าผู้ทำล็อบบี้จากภาคธุรกิจมักผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน โดยแลกกับความเสียหายต่อมนุษยชาติ

“สิ่งที่เราต้องการคือการฟังเสียงของผู้พิทักษ์ธรรมชาติที่แท้จริง ชนพื้นเมืองคือผู้ที่มีองค์ความรู้ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และพวกเขาควรมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก เช่น COP30”

เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุ

กูเตอร์เรส ยังเน้นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนไม่เพียงเป็นเรื่องของศีลธรรม แต่เป็น “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” เพราะยุคของเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังจะสิ้นสุด “เรากำลังเห็นการปฏิวัติพลังงานสะอาด และจะไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถใช้ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซทั้งหมดที่ค้นพบแล้วได้” เขากล่าว

ทั้งนี้ รัฐบาลบราซิลในฐานะเจ้าภาพ COP30 เตรียมนำเสนอโครงการ “Tropical Forests Forever Facility” ซึ่งตั้งเป้าระดมทุน 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปกป้องผืนป่าที่ยังเหลืออยู่ โดยกำหนดให้ 20% ของงบประมาณส่งตรงถึงชุมชนชนพื้นเมือง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ

ตลอดการให้สัมภาษณ์ กูเตอร์เรสเน้นย้ำว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเป็นหัวใจของการต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน พร้อมชี้ว่าชนพื้นเมืองสามารถเป็น “ครู” ที่ช่วยให้ผู้นำทางการเมืองเข้าใจถึงความสำคัญของความสมดุลทางนิเวศได้ดีกว่าผู้ใด

sustainability-un-warns-missed-1-5c-change-course-SPACEBAR-Photo01.jpg

“บางครั้งผู้นำประเทศมัวแต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองระยะสั้น จนลืมมองเห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และไม่มีใครที่จะสอนบทเรียนนี้ได้ดีไปกว่าชนพื้นเมือง”

แม้ระบบการประชุม COP จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เลขาธิการ UN ยืนยันว่ากลไกระดับโลกนี้ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นที่ของความร่วมมือ ไม่ใช่การแข่งขันแบบ “ต่างคนต่างเอาตัวรอด” ที่จะปล่อยให้กลุ่มคนรวยและบริษัทใหญ่เอาตัวรอดจากภัยพิบัติได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย

ในฐานะที่ปีหน้าเป็นปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงให้ความสำคัญกับประเด็นภูมิอากาศและธรรมชาติตั้งแต่เริ่มต้น แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อภารกิจนี้

“ผมจะไม่มีวันละทิ้งคำมั่นในการต่อสู้เพื่อภูมิอากาศ เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อการปกป้องธรรมชาติ และเพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยทั่วโลกที่ต่อสู้เพื่อรักษาสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเรา นั่นคือธรรมชาติ”

กูเตอร์เรส กล่าว

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า การล้มเหลวในการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ใช่เพียงเรื่องตัวเลข แต่คือสัญญาณของการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ระบบเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการขาดเสียงของชุมชนที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุดในกระบวนการตัดสินใจระดับโลก ซึ่งเป็นหัวใจของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 ว่าด้วยการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายที่ 15 ว่าด้วยการปกป้องระบบนิเวศบนบก

การประชุม COP30 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้า จึงอาจกลายเป็นบททดสอบสำคัญของมนุษยชาติ ว่าเรายังสามารถ “เปลี่ยนเส้นทาง” ได้ทัน ก่อนที่โลกจะข้ามเส้นแห่งความยั่งยืนไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์