1 ปีผ่านไป...ไวเหมือนโกหก
ทั้งโลกร้อน แผ่นดินไหว ไฟป่า พายุ และน้ำท่วม เล่นเอาอ่วมถ้วนหน้า ล่าสุดธรรมชาติ “คัลแมกี” เพิ่งพังเมืองชายฝั่งฟิลิปปินส์ราบเป็นหน้ากลอง โดยก่อนหน้านี้ “คลื่นความร้อน” ก็เล่นงานยุโรป จนสเปนอุณหภูมิพุ่ง 46 องศาฯทั้งร้อนทั้งฝนโกลาหลสุดๆ ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจได้รับการแก้ไขเยียวยาจากนานาประเทศในการประชุมโลกร้อน หรือชื่อเต็มว่า การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (UN Climate Change Conference) เรียกย่อๆ ว่า “COP30” ซึ่งเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการในวันนี้ ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล (การประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2025)
...แต่อย่าคาดหวังกันมาก!!
SPACEBAR เคยเขียน“เกาะติดวิกฤตโลกรวนกับเรื่องป่วนๆ ใน COP29 ที่ทำโลกร้อนๆ หนาวๆ”ในช่วงเริ่มต้นการประชุมโลกร้อนเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนจบด้วยอีกบทความช่วงปิดการประชุม ด้วย “COP29 ประชุมโลกร้อน การต่อรองที่ยืดเยื้อเพื่อเขียน 'เช็คเปล่า' ให้กับโลก”ลองย้อนไปอ่านดู..ระวังหดหู่นิดๆ

จากเช็คเปล่า COP29 สู่ People’s COP ที่บราซิล
หลังจาก COP29 ในบากู อาเซอร์ไบจาน ที่โลกทั้งใบเหมือนจะได้แต่ “เช็คเปล่า” เพื่อจ่ายให้อนาคต แต่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเงินจะเข้าบัญชีไหน เมื่อไหร่? COP30 จึงกลับมาประกาศศักดาพร้อมคำถามใหญ่กว่าเดิมว่า
…ถ้าการประชุมโลกร้อนยังเต็มไปด้วยตัวเลขที่ไม่มีชีวิต แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นจริง?

ครั้งนี้เจ้าภาพบราซิล จึงตัดสินใจโยนสูตรเดิมทิ้ง แล้วหันมาใช้แนวคิด “Human-Centered Approach” ที่ดูเหมือนง่ายแต่กลับท้าทายที่สุด เพราะแทนที่จะเริ่มจากโมเดลคาร์บอน พวกเขาเริ่มจากคน
“30 ปีหลังจากการประชุมสุดยอดโลกที่ริโอเดจาเนโร อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้หวนคืนสู่ประเทศที่เป็นจุดกำเนิดอีกครั้ง วันนี้สายตาของโลกจับจ้องมายังเบเลงด้วยความคาดหวัง”
— ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล เปิดการประชุม พร้อมต้อนรับผู้นำจากทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมถกอนาคตของโลก ณ ผืนป่าแอมะซอน
ประธานาธิบดีบราซิล ย้ำว่าบราซิลในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ยึดหลักความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice) และการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกคน ครั้งนี้ COP30 จะเป็น “COP แห่งความจริง” เป็นเวทีที่มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยความกล้า ความโปร่งใส และความร่วมมือร่วมใจ
“ปี 2024 เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกินเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนอุตสาหกรรม เราจะไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ หากยังไม่สามารถขจัดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ คือพันธมิตรในการต่อสู้กับความหิวโหย ความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเพื่อสร้างธรรมาภิบาลโลกที่เป็นตัวแทนของทุกคน”
— ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา กล่าว
...เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ผู้คน
สารจากผู้จัดงาน COP30 ประกาศชัด “การต่อสู้กับโลกร้อนต้องเริ่มจากผู้คน” โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่แนวหน้า ทั้งชนพื้นเมือง ผู้หญิง เยาวชน และชุมชนเปราะบาง ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “เหยื่อ” ของพิบัติภัยทางสภาพภูมิอากาศอีกต่อไป แต่พวกเขาคือผู้นำในการฟื้นฟูระบบนิเวศและสร้างความยืดหยุ่นให้กับสังคม
บราซิลจึงวางแนวคิดที่ให้การดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ “เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ผู้คน” เพราะในที่สุดแล้ว ต้นตอของวิกฤตนี้ไม่ได้อยู่ที่ก๊าซ CO₂ เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่สะสมในระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน
การลดผลกระทบซ้ำซากการปรับตัวหรือแม้แต่การเงินสีเขียว จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเทคโนโลยีหรือดัชนี แต่ผูกโยงกับคุณภาพชีวิต สุขภาพ น้ำ อาหาร การศึกษา และเสรีภาพของมนุษย์
พูดอีกอย่าง COP30 กำลังขอให้โลกมอง “โลกร้อน” ไม่ใช่ในฐานะปรากฏการณ์ทางกายภาพ แต่ในฐานะ “อาการของความไม่เท่าเทียม” ของมนุษย์ยุคใหม่
เมื่อผู้หญิง เยาวชน และชนพื้นเมือง ขึ้นเวทีโลก
ประชากรกลุ่มเปราะบางทั่วโลกเริ่มแสดงบทบาทนำอย่างแข็งแกร่งในสังคม อาทิ
“ผู้หญิง” คือหัวใจของความยืดหยุ่นทางสังคม ขณะที่เยาวชนคือแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงมือทำอย่างเร่งด่วน
“ชนพื้นเมือง” ซึ่งเป็นเพียง 5% ของประชากรโลก กลับดูแลความหลากหลายทางชีวภาพถึง 80% ของผืนดิน
“ชุมชนชายฝั่งและชายขอบ” ที่มักถูกมองข้าม กลับมีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญในห้องแอร์
กลุ่มลูกหลานชาวแอฟริกัน ชุมชนเมืองรอบนอก และแรงงานที่ปรับตัวในโลกอุตสาหกรรมสีเขียว ล้วนสร้างนวัตกรรมเล็กๆ ที่ซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวันมากกว่ามติใดของ COP29
ดังนั้น ในความปั่นป่วนของโลกรวน กลุ่มคนเหล่านี้อาจกลายเป็น “ภูมิคุ้มกันของโลก” โดยไม่ต้องมีพิธีลงนาม

Circle of Peoples เมื่อเวทีโลกเริ่มฟังเสียงจากรากหญ้า
การประชุมที่จัดขึ้นใกล้ผืนป่าแอมะซอนครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือการทดลองจริงในการคืนอำนาจการพูดให้กับผู้ที่ “อยู่หน้างานของโลกร้อน”
บราซิลจัดตั้งโครงการ Circle of Peoples เพื่อยกระดับบทบาทของชนพื้นเมืองและชุมชนดั้งเดิมในกระบวนการเจรจา โดยเชื่อว่าพวกเขาคือผู้ดูแล ไม่ใช่ผู้ถูกรับผลกระทบ
งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า ดินแดนของชนพื้นเมืองมีความสามารถในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพได้ดีกว่าพื้นที่อื่น การอนุรักษ์พื้นที่เหล่านี้จึงเท่ากับการรักษาแหล่งกักเก็บคาร์บอนและระบบนิเวศของทั้งโลก
ดังนั้น COP30 ที่เบเลง จึงถูกขนานนามว่าเป็น “People’s COP” หรือ “COP ของประชาชน” เพราะครั้งนี้ ประชาชนไม่ใช่เพียงผู้ชมในสตรีมสด แต่เป็นผู้ออกแบบการเปลี่ยนแปลงจริง
“รากหญ้า” พลเมืองโลกขอมีส่วนร่วม
จาก Global Stocktake สู่ Global Mutirão เมื่อพลเมืองโลกขอมีส่วนร่วม ประธานาธิบดี ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล เสนอให้ COP30 เป็นเวทีของ Global Mutirão หรือความร่วมมือระดับโลกจากรากหญ้า ผ่านแนวคิด Citizens’ Track ซึ่งเปิดโอกาสให้พลเมืองทั่วโลกส่งเสียงในสมัชชาพลเมืองโลก (Global Citizens’ Assembly)
พร้อมจัดทำ People’s Report รายงานฉบับของประชาชน ที่จะนำเสนอเคียงข้างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และรายงานจากรัฐบาล เพื่อให้เสียงของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ COP อย่างแท้จริง
การประชุมผู้นำโลกปีนี้จึงถูกคาดหวังว่า จะเป็นการหันนโยบายสภาพภูมิอากาศให้เข้ากับ “ชีวิตประจำวันของผู้คน” ตั้งแต่แผน NDCs (Nationally Determined Contributions) ไปจนถึง NAPs (National Adaptation Plans) ทุกอย่างต้องสะท้อน “เป้าหมายของประชาชน” ไม่ใช่เพียง “เป้าหมายของรัฐ”
พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน...สิ้นยุคคำนวณ เริ่มสู่ยุคเข้าใจ
การประชุม COP30 ครั้งนี้นอกจากจะเป็นเวทีต่อรองเชิงเทคนิคของคาร์บอนเครดิตหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ ยังเปรียบดั่งพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่านจากยุคที่มนุษย์พยายามควบคุมธรรมชาติ สู่ยุคที่เราต้องเรียนรู้จะอยู่ร่วมกับมัน
เพราะในท้ายที่สุด การต่อสู้กับวิกฤตภูมิอากาศจะไม่อาจชนะได้ด้วยตัวเลขบนกระดาษ แต่ด้วยหัวใจและความร่วมมือของผู้คนทุกหนแห่ง
ดังนั้น หาก COP29 คือการเขียนเช็คเปล่าให้โลก แต่ปีนี้เกมพลิก!! การประชุม COP30 ดันจบลงด้วยดีและเป็นไปตามที่ร่างก่อนประชุม…คราวนี้ COP30 อาจเป็นครั้งแรกที่เราพยายามลงลายเซ็นในนาม…“มวลมนุษยชาติ”



