คนไทยฝันสลาย เมื่อฤดูหนาว 2568 ประเทศไทยยังเกิดพายุ ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ขณะที่หลายจังหวัดยังเผชิญกับน้ำท่วม เกิดเป็นคำถามต่างๆ นานาว่า...เพราะโลกร้อนใช่หรือไม่? ทำไมฝนยังตกในหน้าหนาว? พายุผิดฤดูหรือเปล่า? เคล้าเสียงเย้ยหยันว่า…หนาวกี่โมง?
แม้กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ฝนฟ้ายังชุ่มฉ่ำ ซ้ำปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่สะสมเริ่มปริ่ม ตบท้ายปลายสัปดาห์นี้ยังมีพายุหมุนเขตร้อนอย่าง “คัลแมกี” สมทบเปิดศึก “3 น้ำ” น้ำเหนือ-น้ำหนุน-น้ำฝน บททดสอบความยั่งยืนเมืองปลายน้ำSPACEBAR จะมาวิเคราะห์ให้ดู

ย้อนสถิติ 74 ปี พายุเข้าสู่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนกี่ลูก?
โดยปกติเมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงต้นฤดูหนาวของประเทศไทย หลายคนเข้าใจว่าเป็นเวลาที่ “ฤดูพายุ” ในโซนมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้จะสิ้นสุด ทว่า รายงานพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย รายเดือน คาบ 74 ปี (พ.ศ. 2494 – 2567) โดยศูนย์ภูมิอากาศ กองพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา เผยสถิติย้อนหลังไปภายในรอบ 74 ปี มีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย นับเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน รวมถึง 31 ลูก ซึ่งแบ่งเป็น
- พายุดีเปรสชัน 27 ลูก
- พายุโซนร้อน 3 ลูก
- พายุไต้ฝุ่น 1 ลูก
แสดงให้เห็นว่า เดือนพฤศจิกายน…ไม่ใช่เดือนปลอดภัยจากพายุ
“พายุเกย์” ตัวอย่างพายุสำคัญในเดือนพฤศจิกายน
พายุเกย์ เป็นพายุหมุนเขตร้อนทรงพลัง สร้างความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่จังหวัดชุมพร และประเทศอินเดียฝั่งตะวันออก ในเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2532 นับเป็นพายุไต้ฝุ่นครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายู ในรอบ 35 ปี เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ในอ่าวไทยตอนล่าง ข้ามคาบสมุทรมลายู เคลื่อนเข้าไปในมหาสมุทรอินเดียเหนือ และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุหมุนระดับ 5 ก่อนขึ้นฝั่งในประเทศอินเดีย พายุลูกนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 500 คน บาดเจ็บ 154 คน บ้านเรือนเสียหาย 38,002 หลัง ประชาชนเดือดร้อน 153,472 คน เรือล่ม 391 ลำ โรงเรียนพัง 160 โรง วัด-มัสยิดเกือบ 100 แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 80,900,105 ไร่ ประเมินความเสียหายราว 11,257,000,000 บาท
วิเคราะห์เส้นทางพายุ-ภูมิภาคที่เสี่ยง

จากสถิติพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน พบว่า ส่วนมากจะเข้ามาทาง “ภาคใต้” มากกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤศจิกายน พายุมักก่อตัวจากบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง แล้วเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทย ก่อนขึ้นฝั่งภาคใต้ตอนบน-กลาง สำหรับที่พัดเข้าตรงบริเวณภาคกลาง อีสาน และตอนบนของประเทศไทย มีโอกาสเกิดแต่นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก

กลางเดือนพฤศจิกายน พายุมักก่อตัวจากบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง แล้วเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทย อิทธิพลพายุส่งผลกระทลกับพื้นที่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป

ส่วนในครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายน เส้นทางรองคือพายุจากมหาสมุทรแปซิฟิกที่เคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ เข้าทะเลจีนใต้ อาจส่งผลตรงกับภาคใต้ไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ จากสถิติพบพื้นที่ที่ศูนย์กลางพายุผ่านสูงสุด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช (มากกว่า 25%)รองลงมาคือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สงขลา (10-25%) และมีโอกาสน้อยกว่าในภาคอีสานตอนล่างหรือพื้นที่ต่อกับภาคตะวันออก (10-15%)
พายุในเดือน พ.ย. “โลกร้อน” เกี่ยวไหม?
หากพิจารณาจากปัจจัยทางธรรมชาติ แม้จะใกล้สิ้นสุดฤดูพายุ แต่ในทะเลจีนใต้ตอนล่างยังคงมีอุณหภูมิผิวน้ำที่ค่อนข้างสูง และมวลอากาศยังสามารถพัฒนาได้ โดยเฉพาะ “ช่วงเปลี่ยนฤดู” มรสุและลมหนาว อาจทำให้เกิดบริเวณความกดอากาศต่ำ หรือมวลอากาศไม่เสถียร ซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของพายุตอนปลายฤดู หรือเป็นช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวน เหมือนที่เกินขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วถึงต้นสัปดาห์นี้

พายุเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
เมื่อทะเลอุ่นขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ทะเลจีนใต้ / อ่าวไทย ก็หมายความว่ามีพลังงานให้พายุเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูพายุ ซึ่งอาจทำให้พายุก่อตัว เคลื่อนตัว หรือส่งผลได้มากกว่าที่คิด แต่ขณะเดียวกัน “โอกาส” พายุเข้ามายังไทยอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนพฤศจิกายน ตามข้อมูลสถิติ (31 ลูกใน 74 ปี หรือเฉลี่ย 0.42 ลูกต่อปี) ซึ่งหมายความว่า ยังถือว่าไม่บ่อยมาก แต่หากเกิดจะส่งผลค่อนข้างหนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันของพื้นที่หรือระบบเตรียมพร้อมมักลดลง
นอกจากนี้ ปัญหาน้ำทะเลหนุน หรือน้ำทะเลสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ก็อาจทำให้ผลกระทบจากพายุเช่น น้ำท่วมชายฝั่ง คลื่น หรือสตอร์มเซิร์จ มีโอกาสรุนแรงขึ้นได้ในอนาคต
วิเคราะห์สาเหตุเชิงลึกเชื่อมโยง “ลานีญา”
กรมอุตุนิยมวิทยาชี้ว่าปีนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะลานีญาอ่อน (Weak La Niña) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดความกดอากาศสูงในเขตตะวันตกของแปซิฟิก และทำให้พายุมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
ประกอบกับอุณหภูมิน้ำทะเลอุ่นผิดปกติ แม้จะเป็นช่วงใกล้ฤดูหนาว แต่อุณหภูมิของน้ำทะเลในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ที่ยังคงอุ่นกว่าค่าเฉลี่ย อาจเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้พายุยังคงความรุนแรงและสามารถเดินทางมาได้ไกลถึงประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้สำคัญของปรากฏการณ์โลกร้อน ที่ทำให้น้ำทะเลดูดซับความร้อนมากขึ้น
แล้วปีนี้…เราควรกังวลไหม?
จริงอยู่ที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูหนาว และคนทั่วไปอาจรู้สึกว่าพายุใหญ่ไม่น่าจะมา แต่ข้อมูลและแนวโน้มชี้ว่า
- พื้นที่ “ภาคใต้” ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจังหวัดที่สถิติบ่อย เช่น นครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานี ฯลฯ
- ฝนตกหนักบ่อยในเดือนพฤศจิกายน อาจไม่ใช่แค่มรสุมหรือมวลอากาศเย็นเพียงอย่างเดียว แต่มีโอกาสได้รับอิทธิพลจาก “หาง” พายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวจากทะเลจีนใต้หรือผ่านฟิลิปปินส์
- ระบบเตือนภัยและการเตรียมพร้อม อาทิ การระบายน้ำชายฝั่ง การอพยพ การจัดการภัยน้ำท่วม ควรได้รับการกระตุ้น แม้จะไม่อยู่ในช่วง “พายุหลัก”
ข้อคิดสำหรับความยั่งยืน
เดือนพฤศจิกายนของไทย แม้อาจดูเหมือนช่วงที่ปลอดภัยจากพายุใหญ่ แต่สถิติชัดเจนว่าพายุหมุนเขตร้อนได้เข้าไทยแล้ว 31 ลูก (รวมคัลแมกีเป็น 32 ลูก) ซึ่งหมายความว่า “มีโอกาสเกิด” แม้จะแค่เฉลี่ยไม่กี่ร้อยละต่อปี แต่ถือว่า “มีอยู่จริง” และเมื่อพิจารณาร่วมกับการอุ่นตัวของมหาสมุทร + ระดับน้ำทะเล + เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ก็ยิ่งควรให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมมากขึ้น
ในมุมของความยั่งยืน “พายุ” ไม่ใช่แค่เรื่องที่เราจะโฟกัสแค่ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ผลกระทบ หรือความเสียหาย แต่เป็นการตั้งรับและปรับตัว วางระบบเมืองชายฝั่ง การจัดการพื้นที่ และการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับกับโอกาสที่พายุ วางแผนเรื่องการแพทย์ การช่วยเหลือ เพราะฝนหนัก น้ำทะเลหนุน ในยุคโลกร้อนพร้อมจะมาในช่วงที่เราอาจไม่คาดคิด
วันนี้หลายสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมใจกันบอกมนุษยชาติว่า ...ไม่มีที่ไหน ปลอดภัยจากโลกร้อน



