ศึก ‘3 น้ำ’ น้ำเหนือ-น้ำหนุน-น้ำฝน บททดสอบความยั่งยืนเมืองปลายน้ำ

7 พ.ย. 2568 - 05:50

  • กรุงเทพมหานครตั้งการ์ดสูง รับมือพายุ “คัลแมกี” เน้นป้องกันเชิงรุก เผยความเสี่ยงจากทั้งน้ำเหนือ-น้ำทะเลหนุน-น้ำฝนพายุ “คัลแมกี”

  • เมื่อ “โลกร้อน” ทำให้พายุปลายปีแรงขึ้น เมืองใหญ่ต้องปรับตัวอย่างไร?

  • “เมืองฟองน้ำ” ทางรอดจากวงจรน้ำท่วมซ้ำซาก

ศึก ‘3 น้ำ’ น้ำเหนือ-น้ำหนุน-น้ำฝน บททดสอบความยั่งยืนเมืองปลายน้ำ

เมื่อพายุ “คัลแมกี” สะท้อนความเปราะบางของเมืองใหญ่ยุคโลกร้อน

กรุงเทพมหานครตั้งการ์ดสูง รับมือพายุ “คัลแมกี” ที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าจะส่งผลกระทบระหว่างวันที่ 7–9 พฤศจิกายนนี้ หลังออกประกาศเตือนให้พื้นที่ภาคอีสานและตอนบนของประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล เฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก

กรุงเทพมหานครตั้งการ์ดสูง รับมือพายุ “คัลแมกี”
กรุงเทพมหานครตั้งการ์ดสูง รับมือพายุ “คัลแมกี”

เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง 2 ช่วง

ขณะเดียวกัน กรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือเตือนระดับ “น้ำทะเลหนุนสูง” ระหว่างวันที่ 5–14 พฤศจิกายน และในช่วงวันที่ 20 - 28 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งอาจซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยริมน้ำหรือพื้นที่ลุ่มต่ำ เฝ้าระวังสถานการณ์

สถานการณ์นี้ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องสั่งการให้ทุกเขตเร่งเรียงกระสอบทราย ป้องกันพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ โดยระบุว่า หัวใจสำคัญคือการป้องกันเชิงรุก เพราะกรุงเทพฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากทั้งน้ำเหนือ น้ำฝน และน้ำทะเลหนุน ปรากฏการณ์ที่คนกรุงรู้จักกันในชื่อ “3 น้ำ”

sustainability-3-waters-upstream-seawater-stormwater-test-bangkok-SPACEBAR-Photo02.jpg

“3 น้ำ” ที่มาพร้อมกัน ความท้าทายของเมืองที่อยู่ปลายน้ำ

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดเผยว่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้นจากน้ำทะเลหนุนเกือบ 45 เซนติเมตร ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพล “พายุคัลแมกี” ที่ก่อตัวในทะเลจีนใต้และเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวไทย ทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้าย “สตอร์มเสิร์จ” (Storm Surge)

พร้อมกันนั้น กรมชลประทานได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนภาคเหนือ และภาคกลาง ในอัตราสูงสุดของปีนี้ที่ 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรองรับฝนสะสมจากพายุที่กำลังเข้า ทำให้ระดับน้ำเหนือไหลสมทบกับน้ำทะเลหนุนที่กำลังสูงสุดพอดี ขณะที่ร่องมรสุมยังพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ส่งผลให้กรุงเทพฯ ต้องเตรียมรับ “ฝนหลงฤดู” จากพายุลูกนี้อย่างเต็มรูปแบบ

ในทางอุตุนิยมวิทยา เดือนพฤศจิกายน ถือเป็น “ปลายฤดูพายุ” แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลับเผชิญพายุปลายปีบ่อยขึ้น และมีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิม สะท้อนผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการก่อตัวของพายุเขตร้อน

sustainability-3-waters-upstream-seawater-stormwater-test-bangkok-SPACEBAR-Photo03.jpg

เมื่อ “โลกร้อน” ทำให้พายุปลายปีแรงขึ้น เมืองใหญ่ต้องปรับตัวอย่างไร?

“พายุคัลแมกี​” อาจไม่ใช่พายุขนาดใหญ่ระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่น แต่สำหรับกรุงเทพฯ เมืองที่อยู่ในพื้นที่ราบต่ำและมีแนวคันกั้นน้ำยาวกว่า 77 กิโลเมตร การรับมือพายุระดับกลางเช่นนี้กลับเป็นภารกิจใหญ่ เพราะ “ระบบเมือง” เองคือข้อจำกัดสำคัญ

นักอุทกวิทยาชี้ว่า “3 น้ำ” ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่คือผลสะสมของการจัดการพื้นที่เมืองที่ไม่สมดุลกับธรรมชาติของน้ำ “น้ำเหนือ” จากเขื่อนต้องผ่านลุ่มน้ำที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง “น้ำฝน” ไม่มีพื้นที่ซับเพราะเมืองขาดพื้นที่สีเขียวซึมน้ำ (Green infrastructure) และ “น้ำทะเลหนุน” ที่สูงขึ้นทุกปี จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ข้อมูลจากรายงาน IPCC ชี้ว่า ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3–5 มิลลิเมตรต่อปี หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2050 กรุงเทพฯ อาจเผชิญน้ำท่วมถาวรในบางพื้นที่ริมเจ้าพระยา โดยเฉพาะเขตชั้นในและย่านเศรษฐกิจเก่าที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย

“เมืองฟองน้ำ” ทางรอดจากวงจรน้ำท่วมซ้ำซาก

แนวคิด เมืองฟองน้ำ (Sponge Cities) กำลังถูกพูดถึงในหลายประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งหันมาออกแบบเมืองให้ “อยู่กับน้ำ” มากกว่า “สู้กับน้ำ”

ถึงตรงนี้หวนให้คิดถึงคำพูดที่ว่า “ผมยังไม่เคยเห็นใครหรือประเทศไหน เอาชนะธรรมชาติได้ สิ่งที่ทำได้คือเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง” ของคุณวราวุธ ศิลปอาชา ซึ่งเคยพูดชี้ว่า Adaptation คือทางรอดโลกร้อนต้องปรับตัว อย่ามัวแต่ลดคาร์บอน

กรุงเทพฯ ก็เริ่มขยับในทิศทางนี้ จากโครงการสวนเบญจกิติ เฟส 2–3 ที่ออกแบบให้พื้นที่ชุ่มน้ำดูดซับน้ำฝน, โครงการคลองโอ่งอ่าง และคลองแสนแสบ ที่ปรับปรุงระบบระบายน้ำร่วมกับพื้นที่พักน้ำ แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ก่อสร้างใหม่ และถนนที่ปิดผิวซึมน้ำจำนวนมาก เมืองยังต้องลงทุนอีกมากหากต้องการสมดุลจริง

ขอบคุณภาพจากสำนักงานเขตบางนา
ขอบคุณภาพจากสำนักงานเขตบางนา

“3 น้ำ” บททดสอบของความยั่งยืน

สำหรับกรุงเทพฯ “พายุคัลแมกี” คืออีกหนึ่งบททดสอบของ “ความยั่งยืนเมืองหลวง” เพราะปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในอากาศหรือระดับน้ำ แต่คือการบูรณาการระบบข้อมูลและการวางแผนรับมือระหว่างหน่วยงาน ตั้งแต่กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมอุทกศาสตร์ จนถึงสำนักงานเขต


การสื่อสารล่วงหน้า การจัดการพื้นที่เสี่ยง และการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นกับธรรมชาติ คือหัวใจของเมืองที่พร้อมสำหรับภูมิอากาศใหม่

...เพราะพายุผ่านไปในไม่กี่วัน แต่ผลของมันจะอยู่กับเราไปอีกหลายปี


ในโลกที่ร้อนขึ้นทุกปี เมืองหลวงของไทยคงต้องเรียนรู้จะ “ยืนอยู่กับน้ำ” ก่อนที่ “3 น้ำ” จะกลายเป็นภาวะปกติใหม่ของชีวิตคนเมือง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์