โรงไฟฟ้าพลังลมลอยน้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของญี่ปุ่นใกล้ท่าเรือประมงเล็กๆ ในตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกำลังเตรียมพร้อมเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์พลังงานสะอาดของรัฐบาล แม้ญี่ปุ่นจะยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้าอย่างหนัก แต่ประกาศให้พลังงานลมนอกชายฝั่งเป็น ตัวช่วยในการผลักดันให้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานหลักภายใน 2583 และบรรลุเป้าหมายคาร์บอนเป็นกลางในทศวรรษต่อมา
เทคโนโลยีพลังลมลอยน้ำเหมาะกับสภาพภูมิศาสตร์ญี่ปุ่น
กังหันลอยน้ำ 8 ตัว ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งหมู่เกาะโกโตะ 5 กิโลเมตรในน้ำลึกถึง 140 เมตร ตัวเลือกนี้เหมาะสมกับญี่ปุ่นเนื่องจากน่านน้ำชายฝั่งลึก ทำให้การติดตั้งกังหันในท้องทะเลเป็นเรื่องท้าทาย ประกอบกับประเทศมีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติสูง
เคอิ อุชิงามิ หัวหน้าฝ่ายพลังงานหมุนเวียนทางทะเลของบริษัทก่อสร้าง โทดา ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการนี้กล่าวว่า โครงสร้างลอยน้ำมีเสถียรภาพค่อนข้างดีแม้เกิดแผ่นดินไหวหรือไต้ฝุ่น
ความพยายามของญี่ปุ่นต่อพลังงานลม
โครงการนี้คาดหวังจะช่วยให้ญี่ปุ่นบรรลุเป้าหมายใหม่ที่กำหนดในปีนี้ ให้พลังลมมีส่วนแบ่งในส่วนผสมพลังงาน 4-8% ภายใน 2583 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1% ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เป็นเส้นทางยาวและยากสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อันดับ 5 ของโลก ที่จะลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
ในปี 2567 โรงไฟฟ้าถ่านหินและไฮโดรคาร์บอนจัดหาไฟฟ้า 65% ของความต้องการของประเทศ ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีส่วนแบ่งเพียงนิดเกินหนึ่งในสี่ ตามข้อมูลสถาบันนโยบายพลังงานยั่งยืนญี่ปุ่น
ความท้าทายด้านต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
ต้นทุนเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 กลุ่มบริษัทมิตซูบิชิถอนตัวจากโครงการพลังงานลมสำคัญ 3 โครงการ เนื่องจากไม่คุ้มทุน ผู้ดำเนินโครงการอื่นร้องขอการสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้น
โยโกะ มัลฮอลแลนด์ จากสถาบันคิด E3G กล่าวว่า รัฐบาลต้องแก้ไขข้อบกพร่องในระบบประมูลปัจจุบันที่ล้มเหลวในการคาดการณ์เงินเฟ้อโลกอย่างรวดเร็วหลังจากการประมูล การปรับปรุงกระบวนการด้านกฎหมายและผ่อนคลายข้อจำกัดการก่อสร้างจะ ลดระยะเวลาดำเนินการและลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน
เพื่อบรรลุเป้าหมายพลังลม 2583 ต้องติดตั้งกังหัน 15 เมกะวัตต์ปีละ 200 ตัว แต่ ฮิเดโนริ โยเนคุระ จากองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเตือนว่าโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ญี่ปุ่นขาดผู้ผลิตกังหันและสถานที่ผลิตขนาดใหญ่
ความร่วมมือกับชุมชนประมง
การอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะการประมงเป็นสิ่งสำคัญ โทดาระบุว่าได้ทำการประเมินสิ่งแวดล้อมและพบว่าโครงการนำร่อง ไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อการประมง ชาวประมงได้รับส่วนแบ่งจากการขายไฟฟ้าและภาษีทรัพย์สินจากโครงการ บางคนถูกจ้างให้ดูแลพื้นที่ก่อสร้างด้วยเรือของตนเอง
