ปัจจุบัน ‘พลังงานไฮโดรเจน’ ได้รับความสนใจจากทั่วโลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าไฮโดรเจนจะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงาน (Energy Transition) และคงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไปสำหรับประเทศไทยต่อจากนี้ ไฮโดรเจน (H2) มีการคิดค้นเพื่อใช้งานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยน้ำ (H2O) จะเป็นสารประกอบไฮโดรเจนที่มีมากที่สุดในโลก
คุณสมบัติของไฮโดรเจน
· ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
· มีการเผาไหม้ที่สะอาด ไม่ปล่อยมลพิษ มีเพียงไอน้ำเท่านั้นที่ได้จากการเผาไหม้
· สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายภาคส่วน
ข้อจำกัดของไฮโดรเจน
· ราคาไฮโดรเจนสีเขียวและไฮโดรเจนสีฟ้าสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น
· ความยากในการจัดเก็บและขนส่ง
· ความปลอดภัยในการใช้งาน
ประเภทของไฮโดรเจน
ไฮโดรเจน ผลิตได้จากแหล่งวัตถุดิบหลายประเภท ซึ่งปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในปริมาณที่ต่างกัน จึงมีการกำหนดสีของไฮโดรเจนเพื่อบ่งบอกถึงความสะอาด สรุปโดยคร่าว ได้ดังนี้
1. ไฮโดรเจนสีน้ำตาล(Brown Hydrogen) ใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ผ่านกระบวนการแปรสภาพเป็นก๊าซ (Gasification) เป็นกระบวนการที่ปล่อย CO2 มากที่สุด
2. ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูปสารไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติด้วยไอน้ำ (Steam Methane Reforming : SMR) มีการปลดปล่อย CO2 รองลงมาจากไฮโดรเจนสีน้ำตาล
3. ไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen) ผลิตจากก๊าซธรรมชาติเช่นเดียวกันกับไฮโดรเจนสีเทา แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต จะถูกกักเก็บด้วยเทคโนโลยีการดักจับและการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS)
4. ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen) ผลิตโดยใช้กระบวนการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำ (Water Electrolysis) และพลังงานไฟฟ้าที่ใช้มีต้นกำเนิดมาจากพลังงานนิวเคลียร์
5. ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ผลิตจากกระบวนการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำ โดยพลังงานไฟฟ้ามาจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ พลังงานลม

ที่มา : สถาบันนวัตกรรม ปตท., คณะกรรมการหอการค้าไทย