เริ่มต้นสัปดาห์นี้มีข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อองค์การการค้าโลก (WTO) เริ่มบังคับใช้ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับสำคัญว่าด้วยการยุติเงินอุดหนุนภาคประมงที่นำไปสู่การทำประมงผิดกฎหมาย และการทำลายทรัพยากรทางทะเล ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสู่การปฏิรูประบบการประมงของโลก และเป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมฉบับแรกในประวัติศาสตร์ของ WTO ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ที่รวมถึงสหรัฐฯ สหภาพยุโรป จีน และอีกหลายประเทศที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมประมง โดยกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการควบคุมและจำกัดการให้เงินอุดหนุนจากภาครัฐที่เป็นสาเหตุหลักของปัญหาการประมงไม่ยั่งยืน
ข้อตกลงฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อจัดการกับปัญหาการทำประมงเกินขนาด (Overfishing) และการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) รวมถึงการใช้ทรัพยากรทางทะเลเกินขีดความสามารถของธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทรัพยากรทางทะเลทั่วโลกลดลงอย่างน่าเป็นห่วง

ยุติเงินอุดหนุนที่ “ทำลายทะเล”
“นี่คือข้อตกลงด้านความยั่งยืนฉบับแรกของ WTO เป็นวันประวัติศาสตร์ที่พวกเรารอคอยมายาวนาน”
— ดร.เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวอาลา ผู้อำนวยการใหญ่ WTO กล่าวในพิธีประกาศใช้ข้อตกลงที่สำนักงานใหญ่ WTO ณ กรุงเจนีวา
องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า การทำประมง IUU เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปลาในท้องทะเลหายไปมากถึง 11–26 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 20% ของปริมาณปลาที่จับได้ทั่วโลก
“แต่ละปีรัฐบาลทั่วโลกใช้งบประมาณกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์ในเงินอุดหนุนที่ส่งเสริมพฤติกรรมประมงที่ทำลายล้าง”
— ผู้อำนวยการใหญ่ WTO กล่าว
เครื่องมือเพื่อความโปร่งใสและกลไกระงับข้อพิพาท
ข้อตกลงดังกล่าวยังมุ่งเน้นเรื่องความโปร่งใส โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรายงานต่อ WTO เกี่ยวกับสถานะของประชากรปลา รายชื่อเรือที่ได้รับเงินอุดหนุน และรายชื่อเรือที่พบว่ากระทำการประมง IUU นอกจากนี้ ยังมีช่องทางให้สมาชิกสามารถร้องเรียนต่อองค์กรเพื่อพิจารณาข้อพิพาทหากพบการละเมิดข้อตกลง

ผ่อนปรนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
ข้อตกลงนี้ยังตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่ยังพัฒนา โดยเปิดทางให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ได้รับ “ข้อยกเว้นชั่วคราว” อาทิ การได้รับสิทธิให้ยังคงให้เงินอุดหนุนภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของตนได้เป็นเวลา 2 ปี และการรายงานข้อมูลทุก 4 ปี แทนที่จะเป็นทุก 2 ปี
นอกจากนี้ WTO ยังจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ซึ่งขณะนี้ได้รับเงินบริจาคแล้วกว่า 18 ล้านดอลลาร์จากประเทศสมาชิก
ความไม่แน่นอนของข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและภาคประชาสังคมต่างเห็นว่าข้อตกลง WTO ฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญ พร้อมเตือนว่าข้อตกลงฉบับนี้ยังไม่ครอบคลุมเรื่องที่สำคัญอย่างการควบคุมการอุดหนุนที่นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการจับปลาจนเกินขีดจำกัด (Overcapacity) ซึ่งถือเป็นรากเหง้าของปัญหาการประมงเกินขนาด
“หากไม่มีข้อตกลงฉบับที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาในอีก 4 ปีข้างหน้าตามมา ข้อตกลงนี้จะถูกยุติโดยอัตโนมัติ เว้นแต่สมาชิก WTO จะตกลงร่วมกันให้ดำเนินต่อ”
— ดร.ราชิด ซูไมลา นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย กล่าว

ไทยอยู่ตรงไหนในกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้?
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภาคประมงของโลก ข้อตกลง WTO ฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ในอดีต ปี 2015 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เคยออก “ใบเหลือง” เตือนประเทศไทยในปัญหา IUU Fishing โดยระบุว่าไทยขาดมาตรการควบคุมและการจัดการเรือประมงที่เพียงพอ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวด หากไม่แก้ไขอย่างจริงจัง อาจถูกห้ามส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป
ต่อมาในในปี 2019 คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศปลดใบเหลืองของไทย หลังจากที่ไทยดำเนินการปฏิรูประบบการควบคุมและบังคับใช้กฎหมายด้านการประมงอย่างเข้มงวดมากขึ้น ทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าประมงไปยังสหภาพยุโรปได้ตามปกติ ข้อตกลง WTO ฉบับล่าสุดที่มีผลบังคับใช้จึงเป็นบททดสอบสำคัญให้ไทยรักษามาตรฐานนี้อย่างต่อเนื่องและไม่ย้อนกลับไปสู่ปัญหาเดิมอีกครั้ง
ในเชิงนโยบาย ข้อตกลงนี้ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องทบทวนนโยบายการให้เงินอุดหนุนภาคประมง เช่น การอุดหนุนเครื่องมือประมง หรือโครงการช่วยเหลืออื่นๆ ว่ามีส่วนกระตุ้นให้เกิดการจับปลาเกินขนาดหรือไม่ และต้องเตรียมกลไกรายงานข้อมูลให้โปร่งใสสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ
ส่วนในด้านของชาวประมง โดยเฉพาะกลุ่มประมงพื้นบ้าน ข้อตกลงนี้อาจสร้างความกังวลต่อการเข้าถึงทรัพยากรหรือการสนับสนุนจากรัฐ แต่ในทางกลับกัน หากรัฐบาลสามารถใช้ “ข้อยกเว้นชั่วคราว” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบประมงยั่งยืน ก็อาจเป็นโอกาสในการพลิกฟื้นระบบประมงของไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ข้อตกลง WTO ฉบับนี้จึงเป็นมากกว่าเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเป็นสัญญาณว่าโลกกำลังหันมาจริงจังกับการหยุดพฤติกรรมที่ทำลายทะเล หากประเทศไทยปรับตัวได้ทันและเดินหน้าเชิงรุก ไม่เพียงแต่จะรักษาทรัพยากรในระยะยาว แต่ยังอาจยกระดับอุตสาหกรรมประมงของไทยให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค