UN เตือนไฟป่าเพิ่มมลพิษทางอากาศ ดัน PM2.5 พุ่งเกินมาตรฐานหลายทวีป

11 ก.ย. 2568 - 01:49

  • รายงานไฟป่าปี 2024 ดันค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งเกินมาตรฐานในหลายทวีป รวมแคนาดา ไซบีเรีย แอฟริกากลาง และแอมะซอน ส่งผลต่อคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่

  • มลพิษจากไฟป่าแพร่กระจายข้ามประเทศ-ลามหลายทวีป เช่น ไฟป่าแคนาดาส่งควันพิษถึงยุโรป, บราซิลเจอผลกระทบจากไฟในลุ่มน้ำแอมะซอน

  • WHO ชี้มลพิษทางอากาศทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่า 8 ล้านคนต่อปี แค่ PM2.5 คร่า 4.5 ล้าน ขณะจีนเริ่มเห็นผลจากมาตรการลดมลพิษอย่างเป็นระบบ

UN เตือนไฟป่าเพิ่มมลพิษทางอากาศ ดัน PM2.5 พุ่งเกินมาตรฐานหลายทวีป

“ไฟป่าที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กำลังปล่อยสารปนเปื้อนในอากาศจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เรียกว่า Witches’ brew หรือส่วนผสมพิษหลากชนิด รวมถึงเขม่าควัน ก๊าซพิษ และละอองลอย ที่ล้วนส่งผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์”

Lorenzo Labrador เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของอุตุนิยมวิทยาโลกสหประชาชาติ กล่าว

ล่าสุด อุตุนิยมวิทยาโลกของสหประชาชาติ (World Meteorological Organization: WMO) ออกรายงานเตือนว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยทั่วโลกจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและคลื่นความร้อน กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มสูงเกินระดับเฉลี่ยในหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและคุณภาพอากาศ เป็นประเด็นที่มีความเชื่อมโยงกันโดยตรง

รายงาน Air Quality and Climate Bulletin ฉบับที่ 5 ของ WMO ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกันยายน 2025 ระบุว่า ไฟป่าขนาดใหญ่ที่เกิดในแคนาดา ไซบีเรีย แอฟริกากลาง และลุ่มน้ำแอมะซอน ในช่วงปี 2024 เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับ “น่าเป็นห่วง” พร้อมทั้งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร

ไฟป่าทวีความรุนแรง หนุน PM2.5 ทะลุค่ามาตรฐานหลายทวีป

WMO ระบุว่าอนุภาคฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีขนาดเล็กถือเป็นหนึ่งในมลพิษที่อันตรายที่สุด เนื่องจากสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดของมนุษย์ได้โดยตรง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ

ข้อมูลจากรายงานแสดงให้เห็นว่าในปี 2024

◦                         แคนาดา พบค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในช่วงฤดูไฟป่าสูงกว่าค่าปกติถึง 2.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยระยะยาว

◦                         ลุ่มน้ำแอมะซอน เผชิญกับไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทำให้ระดับ PM2.5 ในหลายพื้นที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ

◦                         แอฟริกากลางและไซบีเรีย ก็มีแนวโน้มค่าฝุ่น PM2.5 สูงกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน

นอกจากนี้ ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแคนาดายังส่งผลให้เกิดหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กเคลื่อนตัวไปถึงทวีปยุโรป ขณะที่ไฟป่าในแอมะซอนมีผลต่อคุณภาพอากาศในหลายเมืองใหญ่ของบราซิลที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุหลายร้อยกิโลเมตร

sustainability-wildfires-send-pm25-soaring-un-warns-SPACEBAR-Photo01.jpg

ควันไฟป่าผลกระทบข้ามทวีป วิกฤตที่เริ่มเป็นความปกติใหม่

“เราพบว่าคุณภาพอากาศที่แย่ลงจากไฟป่าในประเทศหนึ่ง สามารถลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆ ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน หากสภาพอุตุนิยมวิทยาเอื้ออำนวย ผลกระทบข้ามพรมแดนนี้ ทำให้ไฟป่าไม่ใช่เพียงภัยพิบัติท้องถิ่นอีกต่อไป แต่กลายเป็นปัจจัยระดับโลกที่ทุกประเทศต้องจับตา”

Lorenzo Labrador เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ WMO ระบุ

สัญญาณบวกจากจีน

แม้รายงานจะเน้นที่ความรุนแรงของมลพิษจากไฟป่า แต่ WMO ยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวก โดยระบุว่าในปีที่ผ่านมา ประเทศจีนสามารถลดระดับ PM2.5 ลงได้อย่างมีนัยสำคัญในภูมิภาคตะวันออก เนื่องจากการดำเนินมาตรการควบคุมมลพิษอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตัวอย่างนี้ตอกย้ำว่าหากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนและลงมืออย่างเป็นระบบ ปัญหามลพิษทางอากาศสามารถลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม

มลพิษทางอากาศกลืนกิน 4.5 ล้านชีวิตต่อปี

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า มลพิษทางอากาศภายนอกอาคาร (Ambient air pollution) เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 4.5 ล้านคนต่อปีทั่วโลก โดย PM2.5 ถือเป็นตัวการหลักที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งปอด

ด้าน UN Environment Programme ระบุ มลพิษทางอากาศเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่าสงคราม เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 2 ของการเสียชีวิต โดยก่อให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 8.1 ล้านรายต่อปีจากโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ มะเร็งปอด และการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน เป็นรองแค่ความดันโลหิตสูง และมากกว่าความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่ HIV/AIDS

ดังนั้น หากแนวโน้มไฟป่าเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ก็อาจทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้นในอนาคต หากไม่มีการดำเนินมาตรการควบคุมอย่างเร่งด่วน

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

รายงานของ WMO สะท้อนภาพชัดว่า ปัญหาไฟป่าไม่ควรถูกมองแยกออกจากประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษทางอากาศอีกต่อไป ทั้ง 3 ประเด็น คือ “ไฟป่า – โลกร้อน – มลพิษทางอากาศ” เชื่อมโยงกันในระดับโครงสร้าง และต้องอาศัยความร่วมมือข้ามชาติในการจัดการ

ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มรับมือ Climate Action ด้วยการดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและลดมลพิษจากไฟป่า เช่น ติดตั้งระบบตรวจจับควันและไฟด้วยดาวเทียมแบบเรียลไทม์ จัดการเชื้อเพลิงสะสมในป่า ควบคุมการเผาเพื่อเกษตร หรือออกกฎหมายจำกัดการเข้าพื้นที่เสี่ยงในช่วงฤดูแห้งแล้ง ขณะที่ในระดับโลก มีการลงทุนด้านระบบพยากรณ์มลพิษล่วงหน้า และการส่งเสริมเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์