ลมหายใจ “ไม่” เท่าเทียม วิกฤตที่เริ่มต้นจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
ในวันที่ 7 กันยายนของทุกปี เป็น วันอากาศสะอาดเพื่อท้องฟ้าสีครามสากล (International Day of Clean Air for blue skies) หรือที่เรามักคุ้นในชื่อ “วันอากาศสะอาดโลก” หนึ่งในวันที่ทำให้โลกได้ฉุกคิดและหันกลับมามองสิ่งที่เราใช้ทุกวันแต่กลับไม่ค่อยได้พูดถึง นั่นคือ “อากาศ”
สำหรับวันอากาศสะอาดโลก ถูกกำหนดขึ้นโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี 2019 และจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2020 เพื่อตอกย้ำเตือนว่า “อากาศสะอาด” ไม่ใช่ความหรูหราที่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เข้าถึงได้ แต่คือ “สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติ”
ปีนี้วันอากาศสะอาดเพื่อท้องฟ้าสีครามสากล ยังคงอยู่ภายใต้ธีม “Racing for Air” หรือการแข่งเพื่ออากาศบริสุทธิ์ เพื่อมุ่งเน้นการเร่งหาแนวทางและการลงมือแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปลี่ยนบทสนทนาจาก “ปัญหา” ไปสู่ “การแก้ไข” ที่ยั่งยืน

มลพิษทางอากาศ ภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่าสงคราม
มลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 2 ของการเสียชีวิต โดยก่อให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 8.1 ล้านรายต่อปีจากโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ มะเร็งปอด และการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน เป็นรองแค่ความดันโลหิตสูง และมากกว่าความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่ HIV/AIDS
— ข้อมูลจาก UN Environment Programme ระบุ
โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นอันตรายสูงสุดต่อสุขภาพมนุษย์ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า PM2.5 มีผลต่ออายุขัยในระดับใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ และมากกว่าการบริโภคแอลกอฮอล์ถึง 4 เท่า ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า 90% ของประชากรโลกกำลังหายใจเอาอากาศที่มีคุณภาพ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” เข้าไปในร่างกายทุกวัน

หายใจเข้า = ชีวิตยืนยาวขึ้น (ถ้าอากาศดี)
รายงานจาก Air Quality Life Index (AQLI) แสดงให้เห็นว่า หากมลพิษทางอากาศลดลงอยู่ในระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำได้ ประชากรโลกจะมีอายุยืนขึ้นโดยเฉลี่ย 1 ปี 11 เดือน
สำหรับบางพื้นที่ที่มีมลพิษรุนแรง เช่น อินเดียตอนเหนือ ตัวเลขนี้อาจสูงถึง 6.8 ปี โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมที่หนาแน่นซึ่งประชากรต้องหายใจเอา PM2.5 เข้าไปในปริมาณที่สูงเกินขีดอันตราย
“ทุกลมหายใจไม่เท่าเทียมกัน” กลายเป็นวลีที่สื่อถึงความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องเผชิญกับมลพิษเป็นรายวัน โดยไม่มีทางเลือก
อากาศสะอาด = การเมืองสะอาด?
ปี 2024-2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลก เมื่อกว่า 60 ประเทศจัดการเลือกตั้งใหญ่ นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมจึงเร่งผลักดันให้นโยบาย “อากาศสะอาด” เป็นหนึ่งในวาระหลักของการเมืองระดับชาติ
ข้อเสนอคือการลงทุนเพื่ออากาศสะอาดจะนำมาซึ่งประโยชน์รอบด้าน ไม่เพียงแค่สุขภาพ แต่รวมถึงการลดการปล่อยคาร์บอน การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
แนวคิด “Clean Air is Good Politics” หรือการเมืองที่ดีต้องเริ่มจากอากาศที่ดี เริ่มได้รับการพูดถึงมากขึ้นบนเวทีโลก
เงินอุดหนุนพลังงานฟอสซิล...อุปสรรคที่ยังฝังลึก
แม้หลายประเทศจะเร่งพัฒนาพลังงานสะอาด แต่รายงานพบว่างบประมาณกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ยังถูกใช้ไปกับการอุดหนุนพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของ PM2.5
ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า การปฏิรูประบบอุดหนุนอย่างรอบคอบ พร้อมมาตรการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืน
อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญจากนักวิจัยและนักรณรงค์ คือการเปิดเผยข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ (Open Data) ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง เมื่อผู้คนรู้ว่าอากาศที่ตนเองหายใจเข้าไปในแต่ละวันมีระดับความอันตรายเพียงใด พวกเขาจะสามารถเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และปรับพฤติกรรมของตนเองได้อย่างมีเหตุผล

ถึงเวลา “ลงทุน” เพื่ออากาศที่ทุกคนหายใจได้
ทั้งองค์การสหประชาชาติ และ World Economic Forum ย้ำว่าการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศต้องอาศัยการร่วมมือกันของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศสะอาดจะช่วยชีวิตได้มากขึ้น แต่เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคงของสังคม
วันอากาศสะอาดเพื่อท้องฟ้าสีครามสากล (International Day of Clean Air for blue skies) หรือวันอากาศสะอาดโลก 2025 จึงเป็นมากกว่าวันรำลึก แต่คือการส่งเสียงเตือนและเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนทั่วโลกเร่งลงทุนอย่างจริงจัง เพื่อให้อากาศสะอาดกลายเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เพราะเราไม่อาจปล่อยให้การหายใจสะอาดกลายเป็น “อภิสิทธิ์” สำหรับคนบางกลุ่ม หรือปล่อยให้มลพิษพรากชีวิตผู้คนนับล้านไปอย่างไร้เสียง เพราะอนาคตตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอาจรวมตัวเราและคนที่เรารักก็เป็นได้