PM2.5 ฝุ่นจิ๋ว กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่จิ๋ว
แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 กลายเป็นภัยคุกคามเงียบที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้งที่ค่าฝุ่นพุ่งทะลุเกณฑ์มาตรฐานหลายวันติดต่อกันในหลายพื้นที่
หลายงานวิจัยยืนยันว่า PM2.5 สามารถในการแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ หอบหืด หัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตผู้คนมากถึง 8.1 ล้านคนต่อปีเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ยอดพุ่งมากกว่าการสูบบุหรี่ อุบัติเหตุ หรือโรคเอดส์
สำหรับแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศไทยแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น การเผาในที่โล่ง การขนส่งและควันจากยานพาหนะ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และไฟป่า ดังนั้น การรับมือกับปัญหานี้จึงต้องอาศัยความเข้าใจเชิงพื้นที่และมาตรการเฉพาะจุด

เขตควบคุมมลพิษ กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เริ่มใช้จริง
จากการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 8 กันยายน มีมติให้ประกาศพื้นที่ “กรุงเทพมหานคร” และ 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ “เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน” เป็นเขตควบคุมมลพิษ ตามมาตรา 59 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถดำเนินการเชิงรุกในการจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางกรอบระยะเวลา ดังนี้
1) พิจารณาเห็นชอบการประกาศกำหนดให้ “กรุงเทพมหานคร” เป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคมของทุกปี
2) พิจารณาเห็นชอบการประกาศกำหนดให้ “จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน” เป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมของทุกปี
โดยประกาศดังกล่าวให้อำนาจหน่วยงานในพื้นที่สามารถออกมาตรการควบคุมมลพิษได้โดยตรง เช่น ห้ามเผาในที่โล่งในช่วงวิกฤต สั่งปิดสถานประกอบการที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน หรือจำกัดการใช้รถบางประเภทในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งถือเป็นการนำกลไกทางกฎหมายที่มีอยู่มาขับเคลื่อนจริงในระดับนโยบาย ซึ่งช่วยให้การจัดการฝุ่นละออง PM2.5 ไม่ใช่แค่ “วาทกรรมประจำฤดูฝุ่น” แต่เป็นแผนงานระยะยาวที่มีเป้าหมายชัดเจน

ทำไมต้อง 4 จังหวัดภาคเหนือ?
การเลือก 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษไม่ได้เกิดจากเหตุผลเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในช่วงกุมภาพันธ์-พฤษภาคมของทุกปี
ภาคเหนือของไทยต้องเผชิญกับ “หมอกควันข้ามพรมแดน” จากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงไฟป่าและการเผาไร่หมุนเวียนภายในประเทศเอง จังหวัดท่องเที่ยวดังอย่าง “เชียงใหม่” มักติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ตรวจวัดคุณภาพอากาศระดับโลกเป็นประจำทุกปี
ขณะที่หลายพื้นที่ในจังหวัดเหล่านี้ไม่มีทางเลือกมากนักในการหลีกเลี่ยงฝุ่น ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ต้องเผชิญผลกระทบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน การประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงเป็นการมอบ “เครื่องมือด้านอำนาจ” ให้กับจังหวัดในการป้องกันและจัดการวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด

กรุงเทพฯ กับความหวังใหม่ของการจัดการมลพิษในเมืองใหญ่
แม้กรุงเทพมหานครจะไม่ได้เผชิญไฟป่าเหมือนภาคเหนือ แต่ปัญหา PM2.5 ในเมืองใหญ่เกิดจากการจราจรที่หนาแน่น การเผาในที่โล่งในชานเมือง รวมถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ การกำหนดช่วงเวลาควบคุมระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มีนาคมของทุกปี ทำให้ กทม.สามารถเตรียมแผนรับมือล่วงหน้าได้ เช่น การปรับแผนจราจร สนับสนุนเชื้อเพลิงสะอาด หรือเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศในเขตชุมชน
จากแถลงการณ์ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คาดว่ามาตรการเหล่านี้นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพแล้ว ยังอาจสร้างผลเชิงบวกด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี หากกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่ “อากาศดี” อย่างยั่งยืน
การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ก้าวย่างสู่ SDGs อย่างเป็นรูปธรรม
มาตรการครั้งนี้จะสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับประเทศไทย พร้อมเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ในหลายมิติ อาทิ
SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การลด PM2.5 ช่วยลดโรคเรื้อรังและอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
SDG 11: เมืองและชุมชนยั่งยืน การควบคุมมลพิษช่วยทำให้เมืองน่าอยู่มากขึ้นและลดความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม
SDG 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการเผาและสนับสนุนพลังงานสะอาดช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
SDG 15: การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การจัดการไฟป่าและการเผาในที่โล่งส่งเสริมการรักษาระบบนิเวศ
SDG 17: ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สะท้อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม และท้องถิ่น
การประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงนับเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สามารถต่อยอดสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุม และทำให้ประเทศไทยขยับเข้าใกล้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อความสมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเศรษฐกิจในอนาคต