เจาะลึก 5 ชั้นวิกฤตระบบจัดการน้ำไทยจากคำเตือนของ 'ศศิน เฉลิมลาภ'

25 พ.ย. 2568 - 02:28

  • เจาะลึก 5 ชั้นวิกฤตจัดการน้ำไทย จากคำเตือนของ “ศศิน เฉลิมลาภ” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมที่ออกมาตีแผ่ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญการล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse) ในระบบน้ำ

เจาะลึก 5 ชั้นวิกฤตระบบจัดการน้ำไทยจากคำเตือนของ 'ศศิน เฉลิมลาภ'

ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ประชาชนจำนวนมากต่างตั้งคำถามว่า “เหตุใดประเทศไทยยังรับมือปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากไม่ได้” หนึ่งในเสียงสะท้อนสำคัญที่ดังขึ้นมาจาก “ศศิน เฉลิมลาภ” นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ติดตามระบบน้ำไทยมานานหลายปี

ศศิน อธิบายว่า วิกฤตที่เราเห็นไม่ใช่เพราะฝนรุนแรงขึ้นอย่างเดียว แต่เป็นเพราะประเทศไทยกำลังเผชิญ “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)” ของระบบน้ำ ที่พังลงเป็นชั้นๆ ตั้งแต่โครงสร้างคน ระบบราชการ ข้อมูล เทคนิค ไปจนถึงการเมืองระดับชาติ

SPACEBAR สรุปสกู๊ปพิเศษครบทั้ง 5 ชั้นวิกฤต ดังนี้

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นด้วย Intro ที่ว่าไทยกำลังเผชิญ “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)” ในระบบน้ำ โดยเหตุเกิดจาก 3 แรงที่ชนกันแบบครบสูตร

1) การเมืองแทรกซึมระบบราชการระดับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคขึ้นมาคุมงาน

→ การพยากรณ์–บัญชาการผิดตั้งแต่ต้นทาง

2) คนรู้จริงถูกกันออก ไม่ได้อยู่ในโต๊ะตัดสินใจ

→ พอถึงนาทีวิกฤติ จังหวะการตัดสินใจผิดซ้ำแบบเดิมทุกปี

3) ระบบข้อมูล–บัญชาการล้าหลังไป 10–20 ปี

→ เตือนภัยช้า ระบายไม่ตรงจังหวะ

→ ท่วมซ้ำ-เสียหายซ้ำทั้งที่รู้ล่วงหน้า

นี่ไม่ใช่ปัญหาธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็น “ปัญหาเชิงสถาบัน” ที่สะสมมาเป็นสิบปี และถึงจุดวิกฤตจากปัญหาการเมืองที่มีผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่งผู้บริหารในแต่ละหน่วยราชการทุกแห่ง ทำให้คนมีความสามารถ รู้จริง ในระบบราชการไม่ได้ทำงานตัดสินใจ

sustainability-water-crisis-institutional-collapse-thailand-SPACEBAR-1.jpg

รากแรกของวิกฤติ: ปัญหาเชิงบุคคลและวัฒนธรรมองค์กร

เมื่อ “คนผิด” อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ควรอยู่ และ “คนถูก” ถูกกันออก

ศศิน ชี้ว่าหลายหน่วยงานด้านน้ำตั้งแต่กรมชลประทาน อุตุฯ ปภ. จนถึงผู้ว่าฯ มีปัญหาเหมือนกัน คือผู้บริหารจำนวนมากเติบโตจากสายการเมืองหรือเส้นสาย ไม่ใช่จากสายวิชาการ หรือประสบการณ์ภาคสนาม

ผลลัพธ์คือ

  • การประเมินสถานการณ์ผิดตั้งแต่ต้น
  • ไม่เข้าใจภาษาวิชาการน้ำ–อุตุนิยม
  • ไม่กล้าตัดสินใจเพราะขาดความมั่นใจ
  • ไม่ฟังผู้เชี่ยวชาญภาคสนาม

ยิ่งไปกว่านั้น วัฒนธรรมราชการไทยยังติดกับดัก
“เกรงใจผู้ใหญ่” “กลัวผิด” “ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าระบบบัญชาการ”

ศศิน นิยาม EP นี้ว่า
“ความพังเริ่มต้นจากคน ก่อนพังเป็นสถาบัน”

“รากแรกของการล่มสลายเชิงสถาบันในระบบน้ำไทย น้ำท่วมไทยไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติรุนแรงขึ้นอย่างเดียว” แต่คือระบบราชการที่อ่อนแอจากข้างใน และชั้นแรกของความอ่อนแอนี้คือ คนและวัฒนธรรมองค์กรที่บิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี”

ศศิน เฉลิมลาภ นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ระบุ

ปัญหาเชิงระบบราชการ: โครงสร้างที่ออกแบบมาให้ช้า ซ้ำ และไม่เชื่อมกัน

ชั้นที่สองคือปัญหาเชิงระบบบริหารน้ำทั้งประเทศ ระบบน้ำไทยทำงานคนละทิศ ไม่มีศูนย์บัญชาการจริง

ประเด็นสำคัญที่ศศินเปิดเผยคือ

  • นโยบายเปลี่ยนทุก 3–6 เดือน ทำให้งานน้ำขาดความต่อเนื่อง
  • หน่วยงานไม่กล้าส่งสัญญาณเตือนแรง เพราะกลัว “ทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ”
  • อุตุฯ ชลประทาน ปภ. สทนช. และผู้ว่าฯ ใช้ข้อมูล “คนละชุด” ไม่มีฐานข้อมูลกลาง
  • ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เสียงแตก” ทุกครั้งที่มีวิกฤต

ประเทศไทยไม่มี Common Operating Picture ที่ผู้นำทุกระดับเห็นข้อมูลเดียวกันแบบ real-time ต่างจากประเทศที่จัดการน้ำได้ดี เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน

EP นี้ศศินสรุปว่า
“ระบบที่ช้าและไม่เชื่อมกัน ไม่มีวันชนะภัยพิบัติได้”

ปัญหาเชิงข้อมูลและเทคนิค: เมื่อข้อมูลผิด ผลลัพธ์ผิดทั้งระบบ

ประเทศไทยไม่มี Flood Intelligence ที่เข้าใจน้ำแบบจริงจัง ศศินชี้ว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้ “พยากรณ์ว่าไม่หนัก แต่พื้นที่กลับท่วมหนักจนระบายไม่ทัน”

สาเหตุหลักคือ

  • ขาด radar ฝนแบบ real-time และการอ่านค่าที่ถูกต้อง
  • ไม่มีแบบจำลอง hydrology ที่ผูกกับภูมิประเทศจริง
  • ไม่มีระบบทำนายทิศทางน้ำล่วงหน้า 1–3 ชั่วโมง
  • ข้อมูลภาคสนามถูกรายงานผ่าน ไลน์กลุ่ม ซึ่งผิดพลาดง่าย
  • ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงถูกกันออก ทำให้ช่องว่างความรู้ 10–20 ปีหายไป

ผลลัพธ์คือ
ข้อมูลที่ควรช่วยชีวิต กลับทำให้เกิดการตัดสินใจผิด

sustainability-water-crisis-institutional-collapse-thailand-SPACEBAR-2.jpg

ปัญหาเชิงการเมือง: เมื่อผลประโยชน์นำเทคนิค ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องรอง

ระบบน้ำถูกการเมืองยึด จนการตัดสินใจไม่อิงข้อมูล แต่ขึ้นกับอำนาจและโครงการ ประเด็นที่หนักที่สุดคือ “การเมืองครอบระบบน้ำ”

ศศินระบุว่า

  • การแต่งตั้งผู้บริหารบางตำแหน่งมีการ “ซื้อขาย”
  • เน้นสร้างโครงการที่มองเห็น มากกว่าสร้างระบบเตือนภัยหรือฐานข้อมูล
  • โครงสร้างบัญชาการน้ำไทยมี “สองศูนย์” คำสั่งทับซ้อน
  • เครือข่ายการเมืองท้องถิ่นคุมพื้นที่น้ำ ทำให้บางจุด “ห้ามแตะ”
  • ฝ่ายค้านไม่เข้มแข็ง ระบบจึงไม่มีตัวตรวจสอบตามธรรมชาติ

ผลคือ
ระบบบัญชาการน้ำไทยไม่เคยมี Unified Command ตามหลักสากล

ผลลัพธ์สุดท้าย: ประเทศเสียความสามารถในการจัดการน้ำทั้งระบบ

เมื่อระบบล้ม คนดีหาย ประเทศเสียโอกาสทองหลายสิบปี ศศิน สรุปชั้นสุดท้ายของวิกฤตว่า
ประเทศไทยกำลัง “สูญเสียสมรรถนะด้านน้ำ” ในระดับสถาบัน

ผลกระทบสำคัญ ได้แก่

  • เวลาวิกฤต ขาดมืออาชีพที่รู้พื้นที่และรู้ระบบ
  • ประเทศพลาดโอกาสสร้าง National Flood Command System แม้ผ่านปี 2538 และ 2554 มาแล้ว
  • ข้าราชการน้ำที่เก่งจริงถูกกันออก ไม่ได้รับการเติบโต
  • เกิดปรากฏการณ์ “สมองไหล” ออกจากระบบรัฐอย่างต่อเนื่อง

นี่คือความเสียหายที่มองไม่เห็น แต่กัดกินศักยภาพรัฐอย่างรุนแรงที่สุด

บทสรุปทั้ง 5 EP ของศศิน เฉลิมลาภ กำลังสะท้อนว่า น้ำท่วมไทยไม่ใช่เพียง “ภัยธรรมชาติ” แต่กลับเป็นภาพสะท้อนของระบบราชการ–ข้อมูล–เทคนิค–การเมือง ที่พังพร้อมกันเป็นชั้นๆ

ในขณะที่ภาคใต้กำลังถูกน้ำท่วมหนักอยู่ ณ ตอนนี้ คำถามที่เสียงประชาชนเริ่มตั้งมากขึ้นคือ ไทยพร้อมหรือยังที่จะยอมรับว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฝน แต่อยู่ที่การจัดการที่อ่อนแอ?
และเรามีความกล้าพอหรือไม่ที่จะ “รื้อระบบน้ำไทยใหม่ทั้งระบบ” ก่อนความสูญเสียจะหนักกว่านี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์