ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ประชาชนจำนวนมากต่างตั้งคำถามว่า “เหตุใดประเทศไทยยังรับมือปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากไม่ได้” หนึ่งในเสียงสะท้อนสำคัญที่ดังขึ้นมาจาก “ศศิน เฉลิมลาภ” นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ติดตามระบบน้ำไทยมานานหลายปี
ศศิน อธิบายว่า วิกฤตที่เราเห็นไม่ใช่เพราะฝนรุนแรงขึ้นอย่างเดียว แต่เป็นเพราะประเทศไทยกำลังเผชิญ “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)” ของระบบน้ำ ที่พังลงเป็นชั้นๆ ตั้งแต่โครงสร้างคน ระบบราชการ ข้อมูล เทคนิค ไปจนถึงการเมืองระดับชาติ
SPACEBAR สรุปสกู๊ปพิเศษครบทั้ง 5 ชั้นวิกฤต ดังนี้
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นด้วย Intro ที่ว่าไทยกำลังเผชิญ “การล่มสลายเชิงสถาบัน (Institutional Collapse)” ในระบบน้ำ โดยเหตุเกิดจาก 3 แรงที่ชนกันแบบครบสูตร
1) การเมืองแทรกซึมระบบราชการระดับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคขึ้นมาคุมงาน
→ การพยากรณ์–บัญชาการผิดตั้งแต่ต้นทาง
2) คนรู้จริงถูกกันออก ไม่ได้อยู่ในโต๊ะตัดสินใจ
→ พอถึงนาทีวิกฤติ จังหวะการตัดสินใจผิดซ้ำแบบเดิมทุกปี
3) ระบบข้อมูล–บัญชาการล้าหลังไป 10–20 ปี
→ เตือนภัยช้า ระบายไม่ตรงจังหวะ
→ ท่วมซ้ำ-เสียหายซ้ำทั้งที่รู้ล่วงหน้า
นี่ไม่ใช่ปัญหาธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็น “ปัญหาเชิงสถาบัน” ที่สะสมมาเป็นสิบปี และถึงจุดวิกฤตจากปัญหาการเมืองที่มีผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่งผู้บริหารในแต่ละหน่วยราชการทุกแห่ง ทำให้คนมีความสามารถ รู้จริง ในระบบราชการไม่ได้ทำงานตัดสินใจ

รากแรกของวิกฤติ: ปัญหาเชิงบุคคลและวัฒนธรรมองค์กร
เมื่อ “คนผิด” อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ควรอยู่ และ “คนถูก” ถูกกันออก
ศศิน ชี้ว่าหลายหน่วยงานด้านน้ำตั้งแต่กรมชลประทาน อุตุฯ ปภ. จนถึงผู้ว่าฯ มีปัญหาเหมือนกัน คือผู้บริหารจำนวนมากเติบโตจากสายการเมืองหรือเส้นสาย ไม่ใช่จากสายวิชาการ หรือประสบการณ์ภาคสนาม
ผลลัพธ์คือ
- การประเมินสถานการณ์ผิดตั้งแต่ต้น
- ไม่เข้าใจภาษาวิชาการน้ำ–อุตุนิยม
- ไม่กล้าตัดสินใจเพราะขาดความมั่นใจ
- ไม่ฟังผู้เชี่ยวชาญภาคสนาม
ยิ่งไปกว่านั้น วัฒนธรรมราชการไทยยังติดกับดัก “เกรงใจผู้ใหญ่” “กลัวผิด” “ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าระบบบัญชาการ”
ศศิน นิยาม EP นี้ว่า “ความพังเริ่มต้นจากคน ก่อนพังเป็นสถาบัน”
“รากแรกของการล่มสลายเชิงสถาบันในระบบน้ำไทย น้ำท่วมไทยไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติรุนแรงขึ้นอย่างเดียว” แต่คือระบบราชการที่อ่อนแอจากข้างใน และชั้นแรกของความอ่อนแอนี้คือ คนและวัฒนธรรมองค์กรที่บิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี”
— ศศิน เฉลิมลาภ นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ระบุ
ปัญหาเชิงระบบราชการ: โครงสร้างที่ออกแบบมาให้ช้า ซ้ำ และไม่เชื่อมกัน
ชั้นที่สองคือปัญหาเชิงระบบบริหารน้ำทั้งประเทศ ระบบน้ำไทยทำงานคนละทิศ ไม่มีศูนย์บัญชาการจริง
ประเด็นสำคัญที่ศศินเปิดเผยคือ
- นโยบายเปลี่ยนทุก 3–6 เดือน ทำให้งานน้ำขาดความต่อเนื่อง
- หน่วยงานไม่กล้าส่งสัญญาณเตือนแรง เพราะกลัว “ทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ”
- อุตุฯ ชลประทาน ปภ. สทนช. และผู้ว่าฯ ใช้ข้อมูล “คนละชุด” ไม่มีฐานข้อมูลกลาง
- ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เสียงแตก” ทุกครั้งที่มีวิกฤต
ประเทศไทยไม่มี Common Operating Picture ที่ผู้นำทุกระดับเห็นข้อมูลเดียวกันแบบ real-time ต่างจากประเทศที่จัดการน้ำได้ดี เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน
EP นี้ศศินสรุปว่า “ระบบที่ช้าและไม่เชื่อมกัน ไม่มีวันชนะภัยพิบัติได้”
ปัญหาเชิงข้อมูลและเทคนิค: เมื่อข้อมูลผิด ผลลัพธ์ผิดทั้งระบบ
ประเทศไทยไม่มี Flood Intelligence ที่เข้าใจน้ำแบบจริงจัง ศศินชี้ว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้ “พยากรณ์ว่าไม่หนัก แต่พื้นที่กลับท่วมหนักจนระบายไม่ทัน”
สาเหตุหลักคือ
- ขาด radar ฝนแบบ real-time และการอ่านค่าที่ถูกต้อง
- ไม่มีแบบจำลอง hydrology ที่ผูกกับภูมิประเทศจริง
- ไม่มีระบบทำนายทิศทางน้ำล่วงหน้า 1–3 ชั่วโมง
- ข้อมูลภาคสนามถูกรายงานผ่าน ไลน์กลุ่ม ซึ่งผิดพลาดง่าย
- ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงถูกกันออก ทำให้ช่องว่างความรู้ 10–20 ปีหายไป
ผลลัพธ์คือ ข้อมูลที่ควรช่วยชีวิต กลับทำให้เกิดการตัดสินใจผิด

ปัญหาเชิงการเมือง: เมื่อผลประโยชน์นำเทคนิค ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องรอง
ระบบน้ำถูกการเมืองยึด จนการตัดสินใจไม่อิงข้อมูล แต่ขึ้นกับอำนาจและโครงการ ประเด็นที่หนักที่สุดคือ “การเมืองครอบระบบน้ำ”
ศศินระบุว่า
- การแต่งตั้งผู้บริหารบางตำแหน่งมีการ “ซื้อขาย”
- เน้นสร้างโครงการที่มองเห็น มากกว่าสร้างระบบเตือนภัยหรือฐานข้อมูล
- โครงสร้างบัญชาการน้ำไทยมี “สองศูนย์” คำสั่งทับซ้อน
- เครือข่ายการเมืองท้องถิ่นคุมพื้นที่น้ำ ทำให้บางจุด “ห้ามแตะ”
- ฝ่ายค้านไม่เข้มแข็ง ระบบจึงไม่มีตัวตรวจสอบตามธรรมชาติ
ผลคือ ระบบบัญชาการน้ำไทยไม่เคยมี Unified Command ตามหลักสากล
ผลลัพธ์สุดท้าย: ประเทศเสียความสามารถในการจัดการน้ำทั้งระบบ
เมื่อระบบล้ม คนดีหาย ประเทศเสียโอกาสทองหลายสิบปี ศศิน สรุปชั้นสุดท้ายของวิกฤตว่า ประเทศไทยกำลัง “สูญเสียสมรรถนะด้านน้ำ” ในระดับสถาบัน
ผลกระทบสำคัญ ได้แก่
- เวลาวิกฤต ขาดมืออาชีพที่รู้พื้นที่และรู้ระบบ
- ประเทศพลาดโอกาสสร้าง National Flood Command System แม้ผ่านปี 2538 และ 2554 มาแล้ว
- ข้าราชการน้ำที่เก่งจริงถูกกันออก ไม่ได้รับการเติบโต
- เกิดปรากฏการณ์ “สมองไหล” ออกจากระบบรัฐอย่างต่อเนื่อง
นี่คือความเสียหายที่มองไม่เห็น แต่กัดกินศักยภาพรัฐอย่างรุนแรงที่สุด
บทสรุปทั้ง 5 EP ของศศิน เฉลิมลาภ กำลังสะท้อนว่า น้ำท่วมไทยไม่ใช่เพียง “ภัยธรรมชาติ” แต่กลับเป็นภาพสะท้อนของระบบราชการ–ข้อมูล–เทคนิค–การเมือง ที่พังพร้อมกันเป็นชั้นๆ
ในขณะที่ภาคใต้กำลังถูกน้ำท่วมหนักอยู่ ณ ตอนนี้ คำถามที่เสียงประชาชนเริ่มตั้งมากขึ้นคือ ไทยพร้อมหรือยังที่จะยอมรับว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฝน แต่อยู่ที่การจัดการที่อ่อนแอ? และเรามีความกล้าพอหรือไม่ที่จะ “รื้อระบบน้ำไทยใหม่ทั้งระบบ” ก่อนความสูญเสียจะหนักกว่านี้



