บทวิเคราะห์: น้ำท่วมใต้ 2568 ฝนหนักสุดในรอบ 300 ปี จาก ‘Stationary Heavy Rain’ และอิทธิพลของ ‘ลานีญา’

24 พ.ย. 2568 - 05:34

  • SPACEBAR วิเคราะห์ปรากฏการณ์จากธรรมชาติสู่ผลกระทบเมืองใหญ่ หลังสถิติฝนสะสม 630 มม. สูงสุดในรอบ 300 ปี

  • Stationary Heavy Rain อิทธิพลลานีญา และสภาพเมืองที่ไม่ทันรับมือ ฉายภาพน้ำท่วมซ้ำและหนักกว่าปี 2553

  • ภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่ จำเป็นต้อง “ปรับฉากทัศน์” ความเสี่ยงใหม่ให้ทันกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

บทวิเคราะห์: น้ำท่วมใต้ 2568 ฝนหนักสุดในรอบ 300 ปี จาก ‘Stationary Heavy Rain’ และอิทธิพลของ ‘ลานีญา’

ในขณะที่หลายจังหวัดภาคเหนือและอีสาน กำลังรับมือกับอากาศหนาวเย็นจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จนกรมอุตุนิยมวิทยา ต้องออกประกาศเตือนฉบับที่ 19 เรื่องอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ทว่า ตัดภาพมาที่ “ภาคใต้” กลับเผชิญสถานการณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประกาศเขตภัยพิบัติทั้ง 16 อำเภอ ผู้ว่าฯ สั่งอพยพ ปชช. ด่วน! เนื่องจากยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568)

SPACEBAR วิเคราะห์ปรากฏการณ์จากธรรมชาติสู่ผลกระทบเมืองใหญ่

ภาพน้ำท่วมภาคใต้ สงขลา 2568 / เครดิตภาพ : KOGOLF KG
ภาพน้ำท่วมภาคใต้ สงขลา 2568 / เครดิตภาพ : KOGOLF KG

...ทำไมน้ำท่วมภาคใต้ ปี 2568 จึงเกิดขึ้นเร็วและหนักมาก?

ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานว่าพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กำลังเผชิญฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี โดยมีปริมาณฝนสะสมถึง 630 มิลลิเมตรภายใน 3 วัน (เก็บสถิติวันที่ 19–21 พ.ย. 2568) ซึ่งมากกว่าภาวะน้ำท่วมใหญ่ปี 2553 ที่เคยวัดได้ 428 มิลลิเมตรอย่างชัดเจน

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจาก “ฝนตกหนักตามฤดูกาล” แต่เป็นผลของปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาสั้นๆ และตกลงในตำแหน่งที่ผิดปกติ รวมถึงข้อจำกัดจากโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ซึ่งทำให้มวลน้ำจำนวนมากไหลบ่าและท่วมรวดเร็วเกินศักยภาพการจัดการ

ภาพเทียบน้ำท่วมภาคใต้ สงขลา 2567-2568 / เครดิตภาพ : KOGOLF KG
ภาพเทียบน้ำท่วมภาคใต้ สงขลา 2567-2568 / เครดิตภาพ : KOGOLF KG

วิเคราะห์น้ำท่วมใต้ 2568: Stationary Heavy Rain

ปรากฏการณ์เมฆฝนที่ “ลอยแช่” อยู่กับที่หลายวัน

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้หาดใหญ่เจอน้ำท่วมหนัก คือปรากฏการณ์ Stationary Heavy Rain ทำให้เมฆฝนและแนวร่องฝนนิ่งค้างอยู่ในพื้นที่ “หาดใหญ่” หลายวันติดต่อกัน ทำให้ฝนตกอย่างต่อเนื่องไม่ขยับไปไหน

ฝนแช่ แตกต่างจากพายุฝนทั่วไปที่เคลื่อนตัวไปตามลม เพราะเป็นสภาวะที่ “ระบบลมไม่เคลื่อน” ทำให้เมฆมีโอกาสสะสมความชื้นและปล่อยฝนลงในพื้นที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลลัพธ์คือฝนที่ตกเรื่อยๆ ต่อเนื่องจนเกิดปริมาณน้ำฝนสะสมในระดับที่เมืองไม่สามารถจัดการได้

ด้วยการนิ่งของระบบฝน ประกอบกับความชื้นขนาดใหญ่จากอ่าวไทย “ภาคใต้ตอนล่าง” จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ไม่มีสัญญาณพายุหมุนเขตร้อนเข้ามาโดยตรงก็ตาม

...เรื่องต้องรู้ Rain Bomb และ Stationary Heavy Rain ไม่เหมือนกัน!!

Rain Bomb คือฝนที่กระหน่ำลงมาในพื้นที่แคบๆ อย่างรุนแรงมากในเวลาอันสั้น เกิดจากอากาศเย็นในเมฆพายุพุ่งลงสู่พื้นอย่างรุนแรง มาพร้อมลมกระโชก และทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน พื้นที่ได้รับผลกระทบจำกัด

ฝนแช่ หรือ Stationary Heavy Rain คือฝนตกหนักที่เกิดขึ้นค้างอยู่ในพื้นที่เดิมนานๆ เพราะระบบลมหรือแนวฝนไม่เคลื่อนตัว เกิดจากแนวฝนหรือร่องมรสุมที่ “นิ่งอยู่กับที่” ฝนตกนานเป็นหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ทำให้น้ำท่วมสะสมค่อยๆ เพิ่มระดับ พื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

น้ำท่วมใต้ 2568 หนักสุดในรอบ 300 ปี
น้ำท่วมใต้ 2568 หนักสุดในรอบ 300 ปี

วิเคราะห์น้ำท่วมใต้ 2568: ปริมาณฝนสะสมทุบสถิติ 300 ปี

ตัวเลขปริมาณฝนเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนความผิดปกติของสภาพอากาศปีนี้ คือพื้นที่หาดใหญ่ ที่มีฝนตกในปริมาณสูงมากเป็นประวัติการณ์ คือ

•                         630 มม. (19–21 พ.ย. 2568) — สถิติสูงสุดในรอบ 300 ปี

•                         335 มม. (เฉพาะวันที่ 21 พ.ย.) — ปริมาณฝนสูงสุดในวันเดียวตามข้อมูลกรมชลฯ

•                         365 มม. ณ เขาคอหงส์ (22 พ.ย.) — น้ำจำนวนมากไหลลงคลองอู่ตะเภา และเข้าสู่ตัวเมืองโดยตรง


เมื่อเทียบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ก่อนหน้า จะเห็นความต่างอย่างชัดเจน ดังนี้

•                         ปี 2553: 428 มม.

•                         ปี 2543: 497 มม.

•                         ปี 2568: 630 มม. (เพิ่มขึ้นกว่า 200 มม. ใน 3 วัน)

ทั้งนี้ มีการประเมินว่าฝนระดับนี้สูงกว่าศักยภาพการออกแบบของคลองภูมินาถดำริ (คลองระบาย ร.1) ตามที่กรมชลประทานระบุ แม้คลองมีศักยภาพสูงถึง 1,200 ลบ.ม./วินาที แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรับมือการไหลบ่าที่เกิดขึ้นจริงในปีนี้

วิเคราะห์น้ำท่วมใต้ 2568:  อิทธิพลลานีญา

เมื่อฤดูฝนยาวขึ้น เมฆอุ้มน้ำมากขึ้น และลมหนาวกลายเป็น “เครื่องผลิตฝน”

น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ ปรากฏการณ์ “ลานีญา” มีบทบาทสำคัญ เนื่องจากอิทธิพลของลานีญา ทำให้ฤดูฝนยาวนานขึ้น มวลอากาศเย็นจากจีนพัดแรงลงใต้ เมฆอุ้มน้ำได้มากกว่าเดิม ตลอดจนความชื้นเหนืออ่าวไทยถูกป้อนเข้าสู่ร่องฝนตลอดเวลา

เมื่อมวลลมเย็นเคลื่อนลงมาจากภาคเหนือและอีสาน มันจะเปลี่ยนบทบาททันทีเมื่อผ่านอ่าวไทย จากความเย็นกลายเป็นแรงยกตัวของไอน้ำ และนำไปสู่เมฆฝนก้อนใหญ่ที่พัดเข้าสู่ชายฝั่งภาคใต้อย่างต่อเนื่อง

ลานีญาจึงเป็น “ตัวเร่งกำลังการผลิตฝน” ที่ทำให้เมฆมีความชื้นหนาแน่นผิดปกติ เมื่อรวมเข้ากับ Stationary Heavy Rain ที่ไม่ขยับตัว ผลคือฝนที่ตกแบบไม่หยุด และกินเวลายาว รวมถึงตกหนักกว่าปกติ จึงเกิดน้ำท่วมใหญ่ในรอบนี้

sustainability-analysis-southern-thailand-flood-2568-worst-in-300-years-stationary-heavy-rain-la-nina-SPACEBAR-Photo04.jpg

วิเคราะห์น้ำท่วมใต้ 2568: ฝนตก “ตรงเมือง” ไม่ใช่น้ำหลากจากต้นน้ำ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ระบุชัดว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ปีนี้ไม่เหมือนปี 2543 หรือ 2553 เพราะปีนี้ฝนตกตรงพื้นที่เขาคอหงส์ และตัวเมืองหาดใหญ่โดยตรง น้ำจึงไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มกลางเมืองทันที ไม่ใช่น้ำที่ไหลมาจาก อ.สะเดา หรือ อ.คลองหอยโข่ง เหมือนน้ำท่วมในอดีต

ด้วยเหตุนี้คลอง ระบาย ร.1 จึงช่วยรองรับน้ำจากต้นน้ำได้ แต่ไม่สามารถจัดการน้ำที่เกิด “บนภูเขาในเมืองเอง” ได้ทัน เมืองจึงรับภาระทั้งฝนที่ตกในเขตเมือง และน้ำหลากจากพื้นที่สูงด้านขวาของตัวเมือง ทำให้ปริมาณน้ำสะสมเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

วิเคราะห์น้ำท่วมใต้ 2568: ผังเมืองแบบ “ถาดมีขอบ” และโครงสร้างที่ถึงขีดจำกัด

ตัวเมืองหาดใหญ่มีลักษณะเสมือน “ถาด” ที่มีขอบเป็นภูเขาและพนังกั้นน้ำ เมื่อน้ำไหลบ่าลงมาในปริมาณมาก น้ำจึงถูกขังตามแนวถนนซึ่งมีอาคารสูงเป็นกำแพง การไหลลงคลองจริงทำได้ยาก เกิด “ล็อกน้ำ” ท่วมเป็นแอ่งๆ ส่งผลให้ระดับน้ำจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายชุมชน

แม้คลองระบาย ร.1 และแก้มลิงในพื้นที่จะช่วยลดมวลน้ำได้ แต่ในปีนี้ ปริมาณน้ำ “สูงเกินศักยภาพระบบเมือง” ซึ่งกรมชลประทานยืนยันว่าหากไม่มีคลอง ร.1 สถานการณ์อาจรุนแรงกว่านี้หลายเท่า

นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เครดิตภาพ: เทศบาลนครหาดใหญ่
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เครดิตภาพ: เทศบาลนครหาดใหญ่

ผลกระทบรุนแรงใน 10 จังหวัดภาคใต้

ปรากฏการณ์ครั้งนี้กระทบพื้นที่กว้าง โดย SWOC รายงานว่ามีฝนสะสม 24 ชั่วโมงมากกว่า 300–500 มม. ตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงชายแดนใต้ รวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, สงขลา, พัทลุง, ตรัง, สตูล, นราธิวาส, ปัตตานี และยะลา เฉพาะจังหวัดสงขลามีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 465,000 คน และในหาดใหญ่กว่า 243,000 คน

บทสรุปวิกฤตที่สะท้อนว่าเรากำลังเผชิญสภาพอากาศรูปแบบใหม่

น้ำท่วมภาคใต้ ปี 2568 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับของ “สภาพอากาศยุคใหม่” ทั้งเมฆฝนนิ่งค้างหลายวัน (Stationary Heavy Rain) ปริมาณฝนสะสมสูงสุดในรอบ 300 ปี อิทธิพลลานีญา ที่เพิ่มความชื้นและพลังของแนวร่องฝน ฝนตกตรงเมืองและบนภูเขาใกล้เมือง กายภาพเมืองที่ไม่สามารถรองรับมวลน้ำขนาดใหญ่ได้ทัน และระบบระบายน้ำที่ถึงขีดจำกัด

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ว่าภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่ จำเป็นต้อง “ปรับฉากทัศน์” ความเสี่ยงใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เมือง แต่คนก็ต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อให้ทันกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์