ประเทศไทยเดินหน้าแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเต็มกำลัง ล่าสุด นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2568 พร้อมด้วย นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณานโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ

การประชุมครั้งนี้ มีมติเห็นชอบ ร่างเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 โดยยกระดับการกำหนดเป้าหมายเปรียบเทียบกับกรณีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปกติ ที่ไม่มีการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก (Business as Usual: BAU) ไปเป็นการเปรียบเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง (Absolute Emissions Reduction Target) ณ ปี 2019 โดยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกที่ 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ณ ปี 2035 ภายใต้สัดส่วนจากการดำเนินงานภายในประเทศ ร้อยละ 70 และที่ต้องขอรับสนับสนุนจากต่างประเทศ ร้อยละ 30 รวมถึงการบูรณาการเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ดิน (LULUCF) 118 MtCO2e
ดังนั้น ในปี 2035 ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิไม่เกิน 152 MtCO2e เพื่อให้สอดคล้องตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศทั่วโลกว่าด้วยการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายหลักในการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามอย่างเต็มที่ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกร้อน

ด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจก ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาและขับเคลื่อนให้เกิดโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ของประเทศ พร้อมมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยประสานงานหลักในการบูรณาการการดำเนินงานและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างองค์ประกอบคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อเตรียมความพร้อมการเจรจาของประเทศในเวทีโลก รวมถึงเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 30) โดยมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ผลจากประชุมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมถึงเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตลอดจนสอดรับกับทิศทางของประชาคมโลกในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ