ภายในไม่กี่สัปดาห์เราเห็นข่าวพายุหมุนพัดถล่มเมือง ทั้ง เมลิสซา ที่กวาดจาเมกาคัลแมกีล้างฟิลิปปินส์ ต่อด้วย ฟงวอง ที่กระหน่าซ้ำในจุดเดิม เป็นไปตามคาดว่า “โลกร้อน” มีส่วนทำให้เรื่องราวแบบนี้เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
ทำไม “อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น” ถึงมีบทบาท?
เบน คลาร์ก นักวิจัยจาก Grantham Institute on Climate Change and Environment ในลอนดอน อธิบายว่า อุณหภูมิน้ำทะเลในทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกที่สูงผิดปกติ คือเชื้อเพลิงสำคัญของพายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (Kalmaegi) ที่มีพลังลมและฝนตกหนักมากขึ้น เนื่องจากน้ำทะเลอุ่น ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ก่อขึ้น
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยเพิ่มพลังงานให้พายุ โดยการทำให้น้ำทะเลอุ่นขึ้นและเพิ่มความชื้นในอากาศ แม้ไม่ใช่พายุทุกลูกจะแรงขึ้น แต่โอกาสที่พายุจะทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วเพิ่มสูงขึ้นในโลกที่ร้อนขึ้น”
— จานมาร์โก เมนกัลโด จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวเสริม

พายุซ้ำทำเสียหายหนักขึ้น
พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” สร้างความเสียหายรุนแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คร่าชีวิตอย่างน้อย 188 คนในฟิลิปปินส์ และ 5 คนในเวียดนาม พร้อมผู้สูญหายอีกจำนวนมาก เหตุการณ์นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “สภาพอากาศสุดขั้ว”(Extreme weather) ที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้นในโลกที่อุณหภูมิเพิ่มสูง
เฟิง เซียงป๋อ จากมหาวิทยาลัยเรดดิง เผยว่า พายุที่เกิดต่อเนื่องกันสามารถสร้างความเสียหายสะสมมากกว่าพายุลูกเดียว เพราะพื้นที่ยังไม่ทันฟื้นตัวจากลูกก่อน ดินอิ่มน้ำ และแม่น้ำเต็ม ทำให้พายุลูกต่อมาสร้างผลกระทบหนักขึ้น
รัฐบาลฟิลิปปินส์ รายงานว่ามีประชาชนกว่า 1.2 ล้านคน ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ขณะที่ในเวียดนามมีการอพยพมากกว่า 300,000 คน จากผลกระทบของพายุคัลแมกี และพายุฟงวอง การอพยพครั้งใหญ่เช่นนี้สะท้อนถึงผลกระทบเชิงมนุษย์ของวิกฤตภูมิอากาศที่ขยายตัวไปทั่วภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายประชากรภายในประเทศจากพื้นที่ชายฝั่งที่ถูกน้ำท่วมซ้ำ ซึ่งนักวิชาการเรียกว่า “ผู้ลี้ภัยจากสภาพภูมิอากาศ” (Climate Migrants) ปรากฏการณ์ที่อาจกลายเป็นความท้าทายด้านมนุษยธรรมครั้งใหม่ในศตวรรษนี้
ผลกระทบยังลุกลามถึงภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ซึ่งเสียหายพื้นที่เพาะปลูกกว่า 60,000 เฮกตาร์ กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของเกษตรกรรายย่อย ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นในช่วงการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (COP30) ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ซึ่งผู้นำโลกหารือถึงความคืบหน้าของข้อตกลงปารีส และกองทุนช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน เหตุการณ์นี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าความล้มเหลวในการลดการปล่อยคาร์บอนกำลังส่งผลจริงในระดับชีวิตผู้คน

บทเรียนจากจาเมกา มหาวิบัติพายุโลกร้อน
เหตุการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับ “มหาพายุเมลิซสา” (Hurricane Melissa) ที่พัดถล่มประเทศจาเมกา เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถูกนักวิชาการทั่วโลกยกให้เป็นบทเรียนระดับโลกของพายุจากโลกร้อน
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเลและรองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขียนบทวิเคราะห์ “บทเรียนจากจาเมกา: มหาวิบัติพายุโลกร้อน” ระบุว่า จาเมกา เป็นประเทศเกาะขนาดเล็กในทะเลแคริบเบียนที่พายุรุนแรงผ่านไม่บ่อยนัก แต่ในช่วง 5 ปีหลัง (ค.ศ. 2021–2025) กลับเผชิญพายุรุนแรงถึง 6 ลูก มากกว่าช่วงเวลา 30 ปีก่อนหน้ารวมกัน
พายุเมลิซสา เกิดจากการที่พายุโซนร้อนเคลื่อนเข้าสู่มวลน้ำทะเลที่อุ่นกว่าปกติถึง 1.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้พายุทวีความเร็วลมจาก 115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 18 ชั่วโมง กลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์ทะเลแคริบเบียน ขณะขึ้นฝั่ง พายุถล่มทั่วทั้งเกาะจนระบบสาธารณูปโภคล่มสลาย พื้นที่กว่า 75% ของประเทศไม่มีไฟฟ้าใช้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเท่ากับรายได้ทั้งประเทศตลอดทั้งปี
ดร.ธรณ์ ชี้ว่า มหาวิบัติครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อน “ทะเลดูดซับความร้อนไว้ถึง 90% ของพลังงานส่วนเกินในชั้นบรรยากาศ และเมื่อมันรองรับไม่ไหว ความร้อนเหล่านั้นถูกส่งกลับสู่ผิวน้ำ ทำให้พายุหมุนเขตร้อนมีพลังมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ” พร้อมเตือนว่า หากโลกยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปในอัตราปัจจุบัน ภายใน 25 ปี พายุระดับมหาวิบัติอาจเพิ่มขึ้นหลายเท่า และไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด
บทเรียนจาก “จาเมกา” สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางภูมิอากาศ (Climate inequality) อย่างชัดเจน ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงน้อยนิด กลับเป็นผู้รับผลกระทบหนักที่สุด เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการจัดตั้ง “กองทุนเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบจากโลกร้อน” ภายใต้การประชุม COP เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบหนักจากภัยธรรมชาติ

ทั้งกรณี “คัลแมกี” “ฟงวอง” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ “เมลิซสา” ในจาเมกา ต่างสะท้อนให้เห็นภาพเดียวกันว่าโลกที่ร้อนขึ้นกำลังผลิตพายุที่แรงกว่า ทิ้งร่องรอยทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมที่ยากเยียวยา การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) จึงไม่อาจแยกจากการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศอีกต่อไป หากประเทศต่างๆ ไม่เร่งลดการปล่อยคาร์บอนและลงทุนในการปรับตัวอย่างเป็นระบบ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายข้อก็ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาที่ตั้งไว้ ปี 2030 และอาจกลายเป็น “เส้นตาย” ที่เราพลาด หากไม่เปลี่ยนทิศทางตั้งแต่ตอนนี้
พายุท้ายฤดูทั้งสามลูกนี้ต่างถูกตราหน้าว่าเป็นประจักษ์พยานของภาวะโลกร้อน และนี่คือคำเตือนจากธรรมชาติว่า “เวลาของการผัดผ่อนหมดลงแล้ว” โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่มนุษย์เลือกทำในทศวรรษนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าอนาคตของโลกยุคโลกร้อน > โลกรวน > โลกเดือด จะเป็นอย่างไรต่อไป และคนรุ่นหลังจะรับมือไหวหรือพ่ายแพ้ไป เพราะพิษภัยที่สร้างไว้ของบรรพบุรุษ



