อุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ไม่ได้กระทบแค่ภูมิอากาศหรือสุขภาพกายอีกต่อไป เมื่องานวิจัยชิ้นใหม่จาก MIT ชี้ชัดว่า ความร้อนส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของผู้คนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อย ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปราะบางของปัญหาสังคมในอนาคตอันใกล้

อากาศร้อน = อารมณ์เสีย เพราะอะไร?
หลายคนอาจเคยสังเกตว่า ในวันที่อากาศร้อนจัด มักจะรู้สึกหงุดหงิด เบื่อหน่าย หรือแม้แต่รู้สึกอยากอยู่ห่างจากผู้คน ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากจินตนาการ เพราะผลการวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ยืนยันแล้วว่า “ความร้อนทำให้คนมีแนวโน้มอารมณ์เสียมากขึ้น” โดยมีหลักฐานเชิงสถิติสนับสนุน
คำวิทยาศาสตร์อธิบายชี้ความร้อนเปลี่ยนสมอง
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อ “สารเคมีในสมอง” ที่ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ความร้อนอาจลดระดับสารนี้ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และหดหู่ ส่วน เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ความร้อนอาจกระตุ้นระดับฮอร์โมนนี้ ทำให้คนมีแนวโน้มก้าวร้าวมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดสะท้อนว่า อุณหภูมิไม่เพียงส่งผลต่อร่างกาย แต่มีผลต่อโครงสร้างทางชีวภาพของอารมณ์โดยตรง

โพสต์โซเชียลเดือดขึ้นเพราะโลกที่ร้อนขึ้น จริงหรือไม่?
งานวิจัยทำการวิเคราะห์โพสต์บนโซเชียลมีเดียกว่า 1,200 ล้านโพสต์ จากแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) และ Weibo ครอบคลุม 157 ประเทศ ในระยะเวลา 1 ปี โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านภาษาธรรมชาติ BERT เพื่อประเมินระดับ “ความรู้สึก” จากข้อความในโพสต์ แล้วนำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลสภาพอากาศแบบรายพื้นที่
ผลการศึกษาพบว่า เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C ความรู้สึกเชิงลบในข้อความบนโซเชียลเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย
- ประเทศรายได้น้อยมีแนวโน้มอารมณ์เสียเพิ่มขึ้นถึง 25%
- ขณะที่ประเทศรายได้สูงได้รับผลกระทบเพียง 8%
ความรุนแรง อาชญากรรม เพิ่มเป็นเงาตามตัว
ผลกระทบของอุณหภูมิสูงไม่ได้หยุดอยู่ที่ความรู้สึกหงุดหงิดชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มโยงไปสู่พฤติกรรมรุนแรง เช่น อาชญากรรม การทะเลาะวิวาท หรือแม้กระทั่งการจลาจล
หลายงานวิจัยที่ผ่านมาสนับสนุนประเด็นนี้เช่นกัน อาทิ
- ในกรีซ มากกว่า 30% ของคดีฆาตกรรม ระหว่างปี 1995-2004 เกิดขึ้นในวันที่อุณหภูมิสูงกว่า 25°C
- การจลาจลในยุโรปและอเมริกาใต้ในศตวรรษที่ 18-19 กว่าครึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน
- งานศึกษาทศวรรษ 1980 ยังพบว่า คนขับรถที่เปิดกระจก (ไม่มีแอร์) มีแนวโน้มบีบแตรหรือแสดงความโกรธมากขึ้นในวันที่อากาศร้อนจัด
เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า ความร้อนสามารถเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในระดับบุคคลและสังคม
ประเทศยากจนเสี่ยงหนักขึ้น 3 เท่า
ช่องว่างระหว่างประเทศรายได้สูงและต่ำยังคงชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อพูดถึงผลกระทบทางอารมณ์จากความร้อน ดร.อี้ชุน ฟาน หนึ่งในผู้ร่วมวิจัยอธิบายว่า ประเทศรายได้น้อยมักขาดโครงสร้างพื้นฐานในการปรับตัว เช่น เครื่องปรับอากาศ ระบบสุขภาพจิต หรือการสนับสนุนทางสังคม ส่งผลให้ประชากรในประเทศเหล่านี้เผชิญผลกระทบทางอารมณ์จากอากาศร้อนรุนแรงกว่าถึง 3 เท่า

แนวโน้มในอนาคตอารมณ์โลกอาจดิ่งลง 2.3%
เมื่อใช้แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ถึงปี 2100 ทีมวิจัยประเมินว่า ความร้อนจากภาวะโลกร้อนเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ ความเป็นอยู่ทางอารมณ์ของมนุษย์ทั่วโลกลดลง 2.3% แม้จะมีการปรับตัวเกิดขึ้นบ้างก็ตาม
“ความสามารถในการรับมือกับผลกระทบทางอารมณ์จากอากาศร้อน จะกลายเป็นหนึ่งในหัวใจของการปรับตัวทางสังคมในอนาคต”
— ดร.นิค โอบราโดวิช นักวิจัยร่วมโครงการกล่าวเตือน
ต้องทำอะไรต่อ? ความร้อนคือปัญหาสุขภาพจิตแห่งศตวรรษ
แม้งานวิจัยนี้จะมีข้อจำกัด เช่น กลุ่มตัวอย่างหลักคือผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ (ที่มักเป็นกลุ่มเปราะบาง) แต่ภาพรวมก็สะท้อนข้อเท็จจริงสำคัญว่า อากาศร้อนกำลังกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิตระดับโลก
คำถามสำคัญคือ สังคมพร้อมรับมือหรือยัง? เมืองใหญ่ควรลงทุนในระบบเตือนภัยคลื่นความร้อนควรมีศูนย์พักพิงที่ปลอดภัยในช่วงอากาศสุดขั้วรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตพอๆ กับสุขภาพกายการให้การศึกษาเรื่องการจัดการอารมณ์ในภาวะร้อนจัดควรเริ่มตั้งแต่ระดับครอบครัวและโรงเรียน
ความร้อนมากกว่าแค่ “สภาพอากาศ”
ในโลกที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยชิ้นนี้คือคำเตือนว่าภาวะโลกร้อนกำลังกัดกร่อน “จิตใจ” ของมนุษย์แบบเงียบๆ ไม่แพ้การกัดเซาะชายฝั่งหรือทำลายป่าไม้ ไม่ใช่แค่เหงื่อที่ไหล หรือพัดลมที่หมุนแรงขึ้น แต่คือ “ความเครียด ความก้าวร้าว และความสิ้นหวัง” ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเงียบงันในใจผู้คนทั่วโลก