ในขณะที่ทั่วโลกเกิดเหตุการณ์ผิดธรรมชาติ ทั้งคลื่นความร้อน, ไฟป่า, น้ำท่วม, ดินโคลนถล่ม, แผ่นดินไหว, สึนามิ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนประจักษ์พยานให้มนุษย์ตระหนักถึงผลกรรมที่ทำไว้กับธรรมชาติ จนหลายคนพูดถึงช่วงเวลาที่ “ธรรมชาติเอาคืน” โลกจึงให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวางแผนสร้างเมืองที่พร้อมสู้กับวิกฤตต่างๆ ทว่า อีกด้านของเรื่องร้ายๆ ที่คนเรายังไม่เห็นมากเท่า คือเรื่องของการสะสมของ “สารเคมี” ที่มนุษย์สร้างขึ้น
รายงานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า “มลพิษทางเคมี” กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามสำคัญที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และธรรมชาติในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่กลับยังไม่ได้รับการพูดถึงหรือจัดการอย่างจริงจัง ทั้งที่ผลกระทบของมันแทรกซึมอยู่ในทุกลมหายใจที่เราสูดเข้าไป ในอาหารที่เรากิน และแม้แต่ในร่างกายของเราเอง
งานวิจัยที่จัดทำโดยองค์กร Deep Science Ventures (DSV) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแกรนแธม (Grantham Foundation) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมทั่วโลกสร้างสารเคมีใหม่ หรือสิ่งแปลกปลอมที่ไม่พบในธรรมชาติ (Novel Entities) มากกว่า 100 ล้านชนิด ในจำนวนนี้มีสารเคมีกว่า 40,000-350,000 ชนิด กำลังถูกผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย ซ้ำร้ายบางอย่างมีอยู่ในบ้าน ในรถ นับเป็นภัยใกล้ตัวแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน

แม้สารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก แต่งานวิจัยระบุว่า ความตระหนักของสาธารณชนต่อผลกระทบทางสุขภาพจากสารเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำมาก ทั้งที่ข้อมูลวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสารเคมีจำนวนมากมีความเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ตั้งแต่สมาธิสั้น (ADHD) ภาวะมีบุตรยาก ไปจนถึงมะเร็ง
สิ่งที่น่ากังวลคือ สารเคมีที่เราสัมผัสทุกวันไม่ว่าจะผ่านอากาศ น้ำอาหารหรือผลิตภัณฑ์ภายในบ้าน ล้วนมีศักยภาพในการก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่ถูกเรียกว่า สารเคมีตลอดกาล หรือสารเคมีอมตะ (Per-and Polyfluoroalkyl Substances :PFAS) ซึ่งถูกพบในร่างกายของมนุษย์เกือบทุกคนที่เคยได้รับการตรวจสอบ และในบางพื้นที่ของโลก แม้แต่น้ำฝนยังมีปริมาณ PFAS ที่สูงเกินระดับปลอดภัยตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO)
การศึกษายังชี้ว่า สารเคมีเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายอย่างครอบคลุมตั้งแต่ระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ ปอด ตับ ไต ไปจนถึงระบบเผาผลาญ โดยเฉพาะสารกำจัดศัตรูพืชที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในภาคเกษตรกรรม ก็พบว่ามีความเชื่อมโยงกับ ภาวะมีบุตรยาก และการแท้งบุตร อย่างมีนัยสำคัญ

การสะสมก่อภัยเงียบที่คนยังมองข้าม
ที่น่าตกใจคือ ความล้มเหลวของระบบการประเมินความเป็นพิษในปัจจุบัน ที่ยังไม่สามารถรับมือกับลักษณะของสารเคมีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีของสารที่รบกวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine-Disrupting Chemicals) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายแม้ในปริมาณที่น้อยมาก และมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นเส้นตรง กล่าวคือปริมาณน้อยอาจไม่ได้หมายถึงผลกระทบน้อยเสมอไป ซึ่งสวนทางกับสมมติฐานที่ใช้ในการตรวจสอบสารเคมีส่วนใหญ่
มลพิษทางเคมีอันตรายไม่แพ้โลกร้อน
ปัญหานี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะแม้จะมีความรุนแรงใกล้เคียงกัน แต่ประเด็น “มลพิษทางเคมี” กลับได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการวิจัยและการแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยจาก DSV มองว่า จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้ต้องรอจากภาครัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศเสมอไป เพราะสิ่งนี้สามารถขับเคลื่อนได้จากระดับผู้บริโภค
เมื่อผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยง และมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมเองก็จะปรับตัวตาม ความเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากนโยบายระดับชาติเท่านั้น แต่สามารถเริ่มได้จากการตัดสินใจเล็กๆ ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน
ทีมวิจัยเองได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนตัวจากการเรียนรู้ในงานวิจัยนี้ เช่น เลือกใช้กระทะเหล็กหล่อแทนกระทะเคลือบ หลีกเลี่ยงการอุ่นอาหารในภาชนะพลาสติก และหันมารับประทานอาหารออร์แกนิกมากขึ้น แม้จะมีราคาสูงกว่า สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ นักวิจัยแนะนำว่า อย่างน้อยควรล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อลดปริมาณสารเคมีตกค้าง
ในโลกที่เต็มไปด้วยทางเลือก “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบายหรือเทคโนโลยีระดับสูงเท่านั้น แต่มันเริ่มต้นจาก “ความตระหนัก” และ “การเลือก” ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านฉลากสินค้า หลีกเลี่ยงสารอันตราย หรือเรียกร้องความโปร่งใสจากผู้ผลิต ทุกการกระทำเล็กๆ คือแรงสะเทือนที่ส่งผลต่อทั้งระบบ เราอาจไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งที่อยู่ในอากาศหรือน้ำได้ แต่เราสามารถควบคุมสิ่งที่เราเลือกนำเข้าร่างกาย และเลือกโลกแบบไหนที่เราอยากฝากไว้ให้คนรุ่นถัดไป “ความยั่งยืน” จึงไม่ใช่จุดหมายไกลตัว ทว่า เป็นแค่การลงมือทำอย่างสม่ำเสมอในวันนี้ เพื่อโลกที่น่าอยู่ในวันพรุ่งนี้