บทวิเคราะห์: โลกร้อนเล่นงานเมืองดัง ‘กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์’ เสี่ยงพังเพราะน้ำท่วม

26 ส.ค. 2568 - 03:25

  • รายงาน IPCC ระบุว่าแม้จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มาก แต่บังกลาเทศ เวียดนาม และไทย ยังคงต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมสูงในช่วงปลายศตวรรษนี้

  • 8 ประเทศเอเชียอ่วม Climate Central คาดการณ์น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ และพื้นที่ริมชายฝั่งของประเทศไทย มาเลเซีย เร็วที่สุดในปี 2030

  • นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เผยกรุงเทพฯ ประเทศไทยติดอันดับ 4 ของโลกเสี่ยงน้ำท่วมหนักปี 2050

บทวิเคราะห์: โลกร้อนเล่นงานเมืองดัง ‘กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์’ เสี่ยงพังเพราะน้ำท่วม

ข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2025-2029 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 1.2-1.9 องศาเซลเซียส โดยมีความเป็นไปได้สูงที่โลกจะก้าวข้ามขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสว่าด้วยการจำกัดภาวะโลกร้อน

หลายวันมานี้เราติดตามข่าว “กรุงเทพฯ เสี่ยงน้ำท่วม” จากทัศนะของนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมในสื่อหลายสำนักซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลของ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย จากการเผย 4 ประเด็นน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat ระบุว่า โลกร้อน...ความเสี่ยงน้ำท่วมกรุงเทพและโฮจิมินห์…ไม่ไกลเกินจริง พร้อมอธิบายเหตุผลดังนี้

1.การศึกษาที่จัดทำโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (IPCC) ได้รับการเผยแพร่เมื่อปลายเดือนกันยายน 2567 พบว่า เมืองหลวงอย่างนครโฮจิมินห์ และกรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการละลายของน้ำแข็งในเขตอาร์กติกและแอนตาร์กติกาที่เพิ่มมากขึ้น

2.รายงานระบุว่า “แม้จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มาก...แต่บังกลาเทศ เวียดนาม และไทย จะต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมสูงในช่วงปลายศตวรรษนี้…”

3.นครโฮจิมินห์ ซึ่งตั้งอยู่ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไซง่อนและใกล้กับพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปีเนื่องจากพายุฝนฟ้าคะนอง ฝนตกหนัก และการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บไปยังพื้นที่ต้นน้ำ หนังสือพิมพ์ออน ไลน์เวียดนาม VnExpress รายงานว่า นครโฮจิมินห์กำลังวางแผนที่จะใช้งบประมาณ 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการป้องกันน้ำท่วมในปีนี้ ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเมืองและเขตชานเมืองบางส่วนและนอกกำลังหารือถึงความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนกั้นน้ำแบบ Thames Barrier เพื่อควบคุมน้ำท่วมใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น

ขณะที่มีหลายปัจจัยมีส่วนทำให้พื้นดินในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวหลักของเวียดนาม และเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 18 ล้านคนจมลง

เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำต้นน้ำในจีนและลาวได้ปิดกั้นตะกอนจำนวนมากที่เคยไหลลงสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ทำให้ตะกอนเหล่านี้ที่เคยช่วยเติมสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชผลทางการเกษตรให้กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลิ่งแม่น้ำอีกด้วยหายไป ทำให้เกิดน้ำท่วมมากขึ้น

sustainability-bangkok-and-hochiminh-face-severe-flood-risk-from-global-warming-SPACEBAR-Photo01.jpg

4.รายงานของธนาคารโลกระบุว่า “ภาย ในปี 2573 กรุงเทพฯ เกือบร้อยละ 40 จะถูกน้ำท่วม เนื่องจากฝนตกหนักและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง” ฟาร์มกุ้งและการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ได้เข้ามาแทน ที่ป่าชายเลนที่เคยใช้ป้องกันคลื่นพายุซัดฝั่งได้ก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงใกล้เมืองหลวง ขณะที่รัฐบาลกำลัง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยการสร้างเครือข่ายคลองส่งน้ำที่มีสถานีสูบน้ำยาวถึง 2,600 กิโลเมตร (1,616 ไมล์) และอุโมงค์ใต้ดิน 8 แห่ง เพื่อระบายน้ำในกรณีเกิดภัยพิบัติ

ทั้งนี้ ความคิดเห็นของ ดร.สนธิ ยังสอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสถาบัน McKinsey Global Institute (MGI) ที่ระบุว่า กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย อาจถูกน้ำท่วมหนัก เนื่องจากกรุงเทพมีระดับความสูงเฉลี่ย 1.5 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และแผ่นดินทรุดปีละ 2-3 ซม. พร้อมเผยว่าพื้นที่หนึ่งในสามของเมืองหลวงของไทยอาจจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมดภายใน พ.ศ. 2593 (ปี 2050) และส่งผลให้ประชาชนเกือบ 11 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ขณะที่เมืองมะนิลา ฟิลิปปินส์ และนครโฮจิมินห์ ของเวียดนาม ก็จะประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน พร้อมยังระบุด้วยว่าจะเกิดน้ำท่วมรุนแรงในกรุงเทพฯ พื้นที่ริมชายฝั่งของประเทศไทย และตามแนวชายฝั่งของมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในปี 2030

โดยก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พบว่าพื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน โดยเฉพาะเขตจังหวัดสมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร กำลังเผชิญกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและชุมชนที่มีประชากรกว่า 12 ล้านคนอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

“วัดขุนสมุทรจีน” ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่ที่มีการกัดเซาะที่รุนแรงที่สุดในประเทศไทย อดีตมีเนื้อที่กว่า 76 ไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 5 ไร่ / Sonthi Kotchawat
“วัดขุนสมุทรจีน” ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่ที่มีการกัดเซาะที่รุนแรงที่สุดในประเทศไทย อดีตมีเนื้อที่กว่า 76 ไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 5 ไร่ / Sonthi Kotchawat

ได้แก่ บางขุนเทียน ปากคลองขุนราชพินิจใจ บ้านขุนสมุทรจีน และบ้านแหลมสิงห์ โดยสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น คาดว่าในปี  2050 ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 0.5 เมตร และอาจสูงถึง 1 เมตรในปี  2100 ขณะที่ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เมตร หากเกิดการล่มสลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้น ได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง การเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีน และบางปะกง รวมถึงการรุกตัวของน้ำเค็ม ซึ่งกระทบต่อการผลิตน้ำประปาและการเกษตรในวงกว้าง

8 ประเทศเอเชียอ่วม

สำหรับประเทศในเอเชีย 8 ประเทศ ได้แก่ จีน บังกลาเทศ อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น คิดเป็นประมาณร้อยละ 70 ของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมอย่างหนักในปี 2050 โดยเวียดนาม อียิปต์ และบังกลาเทศ มีดัชนีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงสุดด้วยคะแนน 9.9 จาก 10, ตามมาด้วยประเทศไทย 9 คะแนน, อิรัก 9.6 คะแนน, ปากีสถาน 9.5 คะแนน, จีน 9.3 คะแนน และอินเดีย 9.2 คะแนน

ทางออกของปัญหานี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวเชิงโครงสร้างและเชิงนโยบายควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการใช้น้ำบาดาล การฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น การปลูกป่าชายเลนเพื่อเป็นแนวกันคลื่นธรรมชาติ การวางผังเมืองใหม่ที่คำนึงถึงระดับน้ำทะเลในอนาคต และการเสริมแนวป้องกันน้ำทะเลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องเร่งรัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังในระดับประเทศและภูมิภาค เพื่อชะลออุณหภูมิของโลกไม่ให้ทะลุขีดอันตราย เพราะหากโลกยังร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงก็อาจไม่สามารถต้านทานพลังของธรรมชาติที่เปลี่ยนไปได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์