วิจัยกรุงศรีคาดการณ์อุทกภัยปี 68 กระทบเศรษฐกิจไทย 2.9 หมื่นล้าน

2 ก.ย. 2568 - 07:00

  • ศูนย์วิจัยกรุงศรีชี้อุทกภัยรอบใหม่! ลานีญาดันฝนเกินค่าเฉลี่ย 13–22% นักเศรษฐศาสตร์เตือนจับตา “น้ำท่วม” ไตรมาสสุดท้ายปี 2568

  • คาดการณ์กรณีเลวร้ายที่สุด กระทบพื้นที่ 11.7 ล้านไร่ ทรัพย์สินเสียหาย 4.5 พันล้านบาท ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 2.45 หมื่นล้านบาท รวมความเสียหาย 2.9 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.16% ของ GDP

  • หน่วยงานเร่งตั้งรับ รัฐ–เอกชนเตรียมมาตรการรับมือ พร้อมชู “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เป็นหัวใจในการลดความเสี่ยงระยะยาว

วิจัยกรุงศรีคาดการณ์อุทกภัยปี 68 กระทบเศรษฐกิจไทย 2.9 หมื่นล้าน

ศูนย์วิจัยกรุงศรี (Krungsri Research) เผยรายงานวิเคราะห์แนวโน้มอุทกภัยปี 2568 ชี้ความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี สอดคล้องกับสัญญาณภาวะลานีญา (La Niña)ที่กำลังก่อตัว พร้อมประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจหากเกิดเหตุการณ์รุนแรง อาจสร้างความเสียหายรวมสูงสุดราว 2.9 หมื่นล้านบาท แม้ระดับจะยังไม่รุนแรงเท่ามหาอุทกภัยปี 2554

ทั้งนี้ คาดว่าพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในปี 2568 จะอยู่ที่ 9.5 ล้านไร่ สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินราว 3.7 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินค้าเกษตรเสียหาย 1.99 หมื่นล้านบาท (กรณีฐาน) ทำให้ความเสียหายรวมกันอยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นราว -0.13% ของ GDP

เชียงใหม่เฝ้าระวัง ‘น้ำป่า – ดินโคลนสไลด์’ ภัยพิบัติใหญ่ที่ไม่ไกลตัว
เชียงใหม่เฝ้าระวัง ‘น้ำป่า – ดินโคลนสไลด์’ ภัยพิบัติใหญ่ที่ไม่ไกลตัว

“ลานีญา” ซ้ำเติมโลกร้อน ไทยฝนจากค่าเฉลี่ย 13-22%

จากการติดตามค่าดัชนีภูมิอากาศสำคัญ เช่น ONI, PDO, SOI และ SAMOI พบว่า มีสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะลานีญา ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นทั่วประเทศเฉลี่ย 13–22% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย

“เรากำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับช่วงปลายปี 2567 ซึ่งมีฝนตกหนักและน้ำหลากในหลายจังหวัด แม้ปีนี้จะมีการเตรียมการมากขึ้น แต่ความเสี่ยงยังคงสูง”

ทีมวิเคราะห์ของวิจัยกรุงศรี ระบุ

ขณะเดียวกัน เขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกพอสมควร แม้ปริมาณน้ำกักเก็บจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ยังไม่เกินขีดความสามารถของระบบจัดการน้ำในปัจจุบัน

ประเมินความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์ ENSO

วิจัยกรุงศรีได้ประเมินความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์ ENSO ตาม 3 ฉากทัศน์ ได้แก่

  • กรณีดีที่สุด (Best case) ดัชนี ONI จะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2568 แต่ยังคงอยู่ในสถานะเป็นกลาง (Neutral) ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว
  • กรณีฐาน (Base case) อยู่ในสภาวะเป็นกลางจนถึงภาวะลานีญาระดับอ่อน (Neutral to Mild La Niña): ในกรณีนี้ ดัชนี ONI จะปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 โดยเร่งตัวลงสู่ระดับลานีญาระดับอ่อน ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 ซึ่งอัตราการลดลงใกล้เคียงกับภาวะลานีญาที่เคยเกิดขึ้นในปี 2559-2560 และ 2563-2565 ก่อนจะค่อยๆ อ่อนกำลังลงแต่ยังทรงตัวอยู่ในช่วงลานีญาระดับอ่อนจนถึงเดือนธันวาคม 2568
  • กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) อยู่ในสภาวะเป็นกลางจนถึงภาวะลานีญาระดับปานกลาง (Neutral to Moderate La Niña): สำหรับฉากทัศน์นี้ ดัชนี ONI จะปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 โดยเร่งตัวลงสู่ลานีญาระดับอ่อนในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 และยังคงลดลงต่อเนื่องจนเข้าสู่ภาวะลานีญาระดับปานกลางในเดือนพฤศจิกายน 2568 ทั้งนี้ อัตราการลดลงใกล้เคียงกับภาวะลานีญาปี 2550 และปี 2553-2554
ที่มา Krungsri Research
ที่มา Krungsri Research

ประเมินผลกระทบ 3 ฉากทัศน์ ความเสียหายสูงสุด -0.16% ของ GDP

มุมมองวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ผลกระทบของอุทกภัยในปี 2568 ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่ออุทกภัยสามารถสร้างความเสียหายได้หลายรูปแบบ ทั้งต่อสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน โรงงาน เครื่องจักร ยานพาหนะ เส้นทางคมนาคม และสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ ขณะที่พืชเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบตามปริมาณน้ำและความแรงของกระแสน้ำที่ไหลผ่านพื้นที่ โดยหากระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและระบายได้เร็ว ก็จะไม่ก่อความเสียหายโดยสิ้นเชิงแก่พืชบางประเภท แต่มวลน้ำที่ไหลแรงและขังในระดับสูงติดต่อกันหลายวันจะสร้างความเสียหายแก่พืชประเภทข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ อ้อย มันสำปะหลัง รวมถึงพืชสวนและพืชไร่ต่างๆ เป็นอย่างมาก และจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงส่งผลต่อระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นจากปัญหาอุปทานที่ขาดแคลนได้

ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีได้ประเมินพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งปี 2568 ภายใต้การจำลองสถานการณ์ 3 ฉากทัศน์ และประเมินผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดังนี้

  • กรณีดีที่สุด (Best case) หรือกรณีที่เกิดความเสียหายน้อยสุด จะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 7.4 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 2.8 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 1.54 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 1.82 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.10% ของ GDP
  • กรณีฐาน (Base case) มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 9.5 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 3.7 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 1.99 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 2.36 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.13% ของ GDP
  • กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 11.7 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 4.5 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 2.45 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 2.9 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.16% ของ GDP
The-flood-situation-in-Nan-has-begun-to-improve-with-low-lying-communities-still-suffering-SPACEBAR-Photo05-1.jpg

สถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาของปี 2568

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 ประเทศไทยเผชิญมรสุม และร่องมรสุมที่พัดผ่านประเทศ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดอุทกภัยในบางพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 มีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวม 29 จังหวัด และเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 20 จังหวัด (ณ วันที่ 31 กรกฎาคม) และยังคงมีอีก 9 จังหวัดที่ยังเผชิญอุทกภัยอยู่  โดยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (30 มิถุนายน - 29 กรกฎาคม 2568)  มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 0.9 ล้านไร่ และบ้านเรือนได้รับผลกระทบจำนวน 7,483 หลังคาเรือน โดยจังหวัดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ เชียงราย มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 2.6 แสนไร่ รองลงมาเป็นพะเยา (0.8 แสนไร่) สกลนคร (0.7 แสนไร่) หนองคาย (0.7 แสนไร่) และ สุโขทัย (0.7 แสนไร่) สำหรับพื้นที่ทำการเกษตรที่เสียหาย ได้แก่ พื้นที่ปลูกข้าวที่เสียหาย 3.3 แสนไร่ รองลงมาเป็นพืชไร่และพืชผัก (46,274 ไร่) และไม้ผล ไม้ยืนต้น และอื่นๆ (13,738 ไร่)

อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีคาดว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะไม่รุนแรงเท่ากับมหาอุทกภัยในปี 2554 และจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่ากับมหาอุทกภัยในปี 2554 ที่ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินมูลค่าความเสียหายไว้สูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท แม้ว่าในปี 2568 จะมีปริมาณน้ำฝนที่ใกล้เคียง แต่ด้วยพื้นที่รองรับน้ำที่มากกว่า ทั้งเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง นอกจากนี้ ความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐที่ดีขึ้น (อาทิ ระบบเตือนภัย การซ่อมแซมบำรุง งบประมาณสนับสนุน) ประกอบกับการพัฒนาระบบป้องกันของภาคเอกชนที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม ยังช่วยลดผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความพร้อมของรัฐและเอกชนช่วยลดความรุนแรง

แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่า ความพร้อมของระบบบริหารจัดการน้ำ และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในด้านการป้องกันความเสียหาย มีแนวโน้มช่วยลดผลกระทบได้

หลายองค์กรได้ลงทุนในระบบระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ และเทคโนโลยีตรวจวัดฝนล่วงหน้า ขณะที่ภาครัฐมีการปรับปรุงแผนรับมือในพื้นที่วิกฤต เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำยม และลุ่มน้ำแม่กลอง

“บทเรียนจากปี 2554 ทำให้หลายภาคส่วนมีแผนสำรองและระบบติดตามสถานการณ์ที่แม่นยำขึ้น หากสามารถควบคุมได้ทัน จะไม่เกิดความเสียหายในระดับเดียวกับอดีต”

นักวิเคราะห์ กล่าว

ความยั่งยืน...คือคำตอบระยะยาว

รายงานสรุปว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การฟื้นฟูระบบนิเวศต้นน้ำ และการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสี่ยงระยะยาวจากภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ความตื่นตัวของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากลไกเชิงนโยบาย โดยเฉพาะในภาคเกษตรและการจัดการชุมชนเมือง

ประเทศไทยอาจยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงอุทกภัยในปีนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แต่การรับมืออย่างมีระบบและปรับตัวเชิงกลยุทธ์จะเป็นปัจจัยชี้วัดว่า “วิกฤต” จะกลายเป็น “โอกาส” ได้มากเพียงใด

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์