ในขณะที่โลกยังเผชิญสภาพอากาศผันผวนและทวีความรุนแรงขึ้นจากสภาวะโลกเดือด รายงานล่าสุดจากสถาบันพยากรณ์สภาพภูมิอากาศชั้นนำทั่วโลก ทั้ง NOAA (สหรัฐฯ), ECMWF (ยุโรป) และนักวิชาการไทยชี้ตรงกันว่า ประเทศไทยกำลังจะเจอกับ “ลานีญาระยะสั้น” ในช่วงปลายปี 2568 ก่อนจะพลิกกลับเข้าสู่ “เอลนีโญ” อีกระลอกในปี 2569 ที่อาจรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ประเทศต้องเผชิญทั้ง “ฝนถล่ม-ภัยแล้ง” ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี

สิ้นปี 2568 - ลานีญาระยะสั้นกำลังอ่อน แต่ผลกระทบเอาเรื่อง
ศูนย์พยากรณ์สภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ Climate Prediction Center (NOAA) ของสหรัฐฯ รายงานข้อมูลอุณหภูมิผิวน้ำทะเลแปซิฟิกใกล้เคียงปกติ โดยมีโอกาสประมาณ 55% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ “ลานีญา” กำลังอ่อน ในช่วงกันยายน–พฤศจิกายน 2568 และอาจจะต่อเนื่องถึงธันวาคม ซึ่งแม้จะไม่รุนแรงและไม่ยาวนานพอจะนับเป็น “เหตุการณ์ลานีญาเต็มรูปแบบ” แต่ก็เพียงพอจะก่อให้เกิดผลกระทบด้านภูมิอากาศในวงกว้าง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ที่มีแนวโน้มฝนเพิ่มขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงเกิดพายุหมุนเขตร้อนง่ายขึ้น
ด้าน รศ. ดร.วิษณุ อรรถวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการเกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ลานีญาระยะสั้นรอบนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม โดยเฉพาะในภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำหลาก
“ฝนที่ตกมากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะระบบระบายน้ำในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถรองรับได้ และถ้าเราไม่มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ก็อาจจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำซ้อน”
— รศ.ดร.วิษณุ ระบุ
พายุแรงขึ้น ภาคใต้ฝนน้อย และความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
แม้ภาพรวมจะเป็นฝนตกหนักในช่วงต้นฤดู แต่ข้อมูลจาก ECMWF (ยุโรป) และศูนย์พยากรณ์ในประเทศไทยหลายแห่งชี้ว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568-กุมภาพันธ์ 2569 ปริมาณฝนจะลดลงใกล้เคียงหรือแม้แต่น้อยกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งอาจกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่จำเป็นในช่วงฤดูแล้งที่ตามมา
นอกจากนี้ ลานีญายังมีแนวโน้มเอื้อต่อการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจทำให้ฤดูพายุในภูมิภาคนี้รุนแรงและยาวนานขึ้นกว่าปกติ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

ปี 2569 - เอลนีโญอาจกลับมา เสี่ยงแล้งและฝนมาช้า
จากการประเมินของ NOAA และ ECMWF ระบุว่า หลังลานีญาจบลง ในต้นปี 2569 โลกอาจเข้าสู่ภาวะปกติ (Neutral Phase) เพียงระยะสั้น ก่อนที่ “เอลนีโญ” จะเริ่มก่อตัวอีกครั้งในช่วงกลางปี 2569 โดยอาจพัฒนาเป็นเอลนีโญระดับอ่อนถึงรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฤดูกาลฝนในปีหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฤดูฝนที่มาช้ากว่าปกติ ปริมาณฝนโดยรวมที่ลดลง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคเกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร และแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก
การเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกับโลกรวน
แม้ปรากฏการณ์ ENSO (El Niño–Southern Oscillation) จะเกิดขึ้นตามวัฏจักรธรรมชาติ แต่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากฝีมือมนุษย์ ได้เร่งให้วงจรเหล่านี้รุนแรงและไม่แน่นอนขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้พลังงานที่ใช้ในการก่อตัวของพายุและปรากฏการณ์เหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรง
แนวโน้มเหล่านี้ตอกย้ำว่า เราไม่สามารถวางแผนรับมือกับภัยธรรมชาติในแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะฤดูฝนที่มากและฤดูแล้งที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งต้องการการจัดการที่ยืดหยุ่น ล่วงหน้า และแม่นยำมากกว่าที่เคย
วางแผนจัดการน้ำ–การเกษตร
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของผู้เชี่ยวชาญคือ การวางแผนจัดการน้ำแบบ “ข้ามปี” โดยต้องอาศัยข้อมูลพยากรณ์ระยะกลางและระยะยาวจากหลายแหล่ง ผสานกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบเก็บกักน้ำ พื้นที่รับน้ำ การปรับพื้นที่เกษตร และระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ในด้านเกษตรกรรม การปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการเพาะปลูก เลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสม และการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยง
ในระยะยาว การลงทุนในความรู้ การสร้างระบบข้อมูลแบบเปิด และการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ–เอกชน–ชุมชน คือหัวใจสำคัญของความยั่งยืนในยุคที่สภาพอากาศไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากการคาดการณ์สู่การลงมือจริง
การเผชิญหน้ากับลานีญา-เอลนีโญ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในบริบทของปี 2568-2569 มันเกิดขึ้นในโลกที่ร้อนขึ้น มีความผันผวนสูงขึ้นและเปราะบางมากขึ้น การรอคอยให้ภัยพิบัติเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไข อาจสายเกินไป
บทเรียนจากอดีตและข้อมูลจากวันนี้ กำลังบอกเราว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่คือการเตรียมพร้อมอย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างธรรมชาติ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนในระยะยาว