วิกฤตความร้อนจากการตัดไม้ทำลายป่าคร่าผู้คนกว่าครึ่งล้านใน 2 ทศวรรษ

28 ส.ค. 2568 - 02:30

  • การตัดไม้ทำลายป่าคร่าชีวิตคนครึ่งล้านใน 20 ปี จากความร้อนเฉพาะพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง

  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยเสี่ยงสูงสุด เพราะมีทั้งประชากรหนาแน่นและพื้นที่ป่าถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

  • ป่าไม้คือโครงสร้างพื้นฐานธรรมชาติที่ช่วยป้องกันวิกฤตสภาพอากาศ สุขภาพ หนุนรัฐ-เอกชน เร่งลงทุนในป่าไม้เพื่อ SDGs และ BCG อย่างยั่งยืน

วิกฤตความร้อนจากการตัดไม้ทำลายป่าคร่าผู้คนกว่าครึ่งล้านใน 2 ทศวรรษ

สัปดาห์นี้นอกจากสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภัยธรรมชาติแล้ว ล่าสุดมีรายงานวิจัยใหม่ที่ถูกเผยแพร่ในวารสาร Nature Climate Change เปิดเผยว่าการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนระหว่างปี 2001–2020 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับความร้อน (Heat-related illness) มากกว่า 500,000 คนทั่วโลก โดยกว่า 28,330 คนต่อปี เสียชีวิตจาก “ความร้อนเฉพาะพื้นที่” ที่เพิ่มขึ้นจากการเคลียร์พื้นที่ป่า

แม้ว่าการศึกษาก่อนหน้านี้จะเคยแสดงให้เห็นว่า การตัดและเผาป่าไม้ก่อให้เกิดความร้อนในระยะยาว แต่รายงานฉบับนี้นับว่าเป็น ครั้งแรกที่มีการคำนวณ “จำนวนผู้เสียชีวิต” ตามมาอย่างเป็นระบบ

“ความร้อนที่เพิ่มขึ้น 2–3 องศา อาจเป็นความต่างระหว่างการมีชีวิตกับการเสียชีวิต โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบาง”


ศาสตราจารย์ โดมินิก สแปรคเลน จากมหาวิทยาลัยลีดส์ ผู้ร่วมวิจัยกล่าว

วิจัยนี้จัดทำโดยทีมวิจัยจากบราซิล กานา และสหราชอาณาจักร โดยการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตที่ไม่เกิดจากอุบัติเหตุ (Non-accident mortality) กับอุณหภูมิในพื้นที่ที่มีการตัดป่า โดยพบว่ากลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งรวมถึงไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีทั้งประชากรหนาแน่น พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการขยายตัวของเกษตรเชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

วิกฤตความร้อนจากการตัดไม้ทำลายป่าคร่าผู้คนกว่าครึ่งล้านใน 2 ทศวรรษ
วิกฤตความร้อนจากการตัดไม้ทำลายป่าคร่าผู้คนกว่าครึ่งล้านใน 2 ทศวรรษ

“โลก” ไม่ได้ร้อนขึ้นเอง แต่เป็นความร้อนที่มนุษย์เร่งสร้าง

รายงานชี้ว่าการตัดป่าทำให้เกิด Localised Warming หรือภาวะร้อนเฉพาะพื้นที่ เนื่องจากปริมาณร่มเงาลดลง ฝนตกน้อยลง และความชื้นในอากาศลด ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยมีสภาพป่ากลายเป็นแหล่งกักเก็บความร้อน ทำให้ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มากกว่า 1 ใน 3 ของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเขตร้อนในช่วงสองทศวรรษ มาจาก “การตัดไม้ทำลายป่า” โดยตรง ไม่ใช่จากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอนเพียงอย่างเดียว

ข้อมูลยังเผยว่า ประชากรกว่า 345 ล้านคนทั่วเขตร้อน ต้องเผชิญกับความร้อนจากการตัดป่า และอย่างน้อย 2.6 ล้านคนได้รับผลกระทบที่ระดับรุนแรง (เพิ่มขึ้นถึง 3°C)

นักวิจัยประเมินว่าความร้อนที่เกิดจากการตัดป่าส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 28,330 คนต่อปี ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา โดย

  • มากกว่าครึ่งของผู้เสียชีวิตเหล่านี้อยู่ใน “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากในพื้นที่ที่มีความเปราะบางต่อความร้อน
  • ประมาณ 1 ใน 3 อยู่ใน แอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา
  • ส่วนที่เหลืออยู่ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ทำไม “อาเซียน” ถึงเป็นจุดเสี่ยงร้อนที่สุดของโลก

รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกจัดให้เป็น “Hotspot” ของผลกระทบความร้อนเฉพาะจุดจากการตัดไม้ ด้วยเหตุผลหลักคือ

  • ความหนาแน่นประชากรสูงในพื้นที่ที่ “เคย” มีป่าไม้
  • การขยายพื้นที่เพาะปลูกเชิงพาณิชย์ เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา พืชพลังงาน
  • ความเสี่ยงจากไฟป่า และภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้น

กรณีของประเทศไทย เช่น จังหวัดในภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในระดับสูง ขณะเดียวกันมีรายงานจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า พื้นที่ป่าลดลงเหลือน้อยกว่า 31% ของพื้นที่ประเทศ (ปี 2024)

ทั้งนี้ การลดลงของพื้นที่ป่าไม่เพียงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กำลังกระทบต่อ

  • สุขภาพประชาชน
  • ศักยภาพการผลิตอาหาร
  • ความมั่นคงด้านพลังงานและน้ำ
  • เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

SDGs และโอกาสของการลงทุนสีเขียวในภูมิภาค

งานวิจัยนี้ตอกย้ำความสำคัญของการลงทุนใน “ธรรมชาติ” โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 (SDG13: Climate Action) และเป้าหมายที่ 15 (SDG15: Life on Land) ซึ่งเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ฟื้นฟูระบบนิเวศ บริหารจัดการป่าไม้และที่ดินอย่างยั่งยืน

หลายประเทศเริ่มปรับนโยบาย อาทิ

อินโดนีเซีย ผลักดันโมเดลเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำผ่านการปลูกป่าทดแทน

มาเลเซีย พัฒนาระบบเก็บข้อมูลความร้อนในพื้นที่เกษตรเพื่อลดความเสี่ยงสุขภาพ

เวียดนาม เสนอมาตรการชดเชยคาร์บอนจากการรักษาป่า (Carbon Offset)

สำหรับประเทศไทย แนวทางหนึ่งที่ถูกเสนอคือการผนวก “ธรรมาภิบาลป่าไม้” (Forest Governance) เข้ากับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการขับเคลื่อน BCG Economy Model เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานชีวภาพควบคู่การอนุรักษ์

บทเรียน “ป่าคือชีวิต”

จากมุมมองเชิงนโยบาย บทสรุปที่ชัดเจนจากงานวิจัยนี้คือ การตัดไม้ทำลายป่าไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อมล้วนๆ อีกต่อไป แต่คือ “ภัยสุขภาพ” และ “ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขมนุษย์และเม็ดเงินได้อย่างชัดเจน

ดังนั้น การลงทุนในระบบนิเวศและการปกป้องป่าไม้ จึงควรถูกมองเป็นการ “ประกันความอยู่รอดของเศรษฐกิจ” เช่นเดียวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบสาธารณสุข ...สุดท้ายเราแอบหวังลึกๆ ว่าเอเชียและไทยจะหยุดตัดไม้ทำลายป่าเพื่อ(อ้าง)การพัฒนา…แล้วก็ใช้เงินมารักษาเยียวยาทั้งธรรมชาติที่พังและคนที่ร้อนจนป่วยตาย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์