ท่ามกลางฤดูมรสุมปี 2025 ที่ถล่มเอเชียใต้ มวลน้ำจากฝนมหาศาลได้เปลี่ยนหมู่บ้านกลางหุบเขาให้อยู่ใต้ซากดินโคลนและหินพังถล่ม เพราะ Cloudburst (คลาวด์เบิร์สต์) หรือฝนกระหน่ำเฉพาะที่ ซึ่งกำลังกลายเป็นคำที่สื่อสารถึงภัยธรรมชาติสุดขั้ว ที่ไม่เพียงแต่เกิดบ่อยขึ้น แต่ยังรุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิตผู้คนนับร้อยในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ในปีนี้อินเดียและปากีสถานต้องเผชิญกับเหตุการณ์ Cloudburst หลายครั้ง เช่น Cloudburst ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ ในอินเดีย ทำให้ทั้งหมู่บ้านถูกพัดลงเขา ขณะที่ Cloudburst ในปากีสถาน คร่าชีวิตผู้คนหลายร้อยภายใน 1 ชั่วโมง
Cloudburst คืออะไร? ทำไมรุนแรง?
“Cloudburst” หมายถึงฝนที่ตกหนักมากภายในพื้นที่แคบและในเวลาสั้น โดยทั่วไปหมายถึงการตกเกิน 100 มิลลิเมตร ภายใน 1 ชั่วโมง มักเกิดในพื้นที่ภูเขาสูง ซึ่งอากาศชื้นจากลมมรสุมปะทะกับอากาศเย็นจากภูเขา ก่อให้เกิดกลุ่มเมฆหนาแน่นและการควบแน่นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะระเบิดเป็นฝนอย่างฉับพลัน
สิ่งที่ทำให้ Cloudburst อันตรายเป็นพิเศษในเอเชียใต้ คือภูมิประเทศที่ลาดชัน ประกอบกับมีชุมชนกระจายอยู่ตามเชิงเขาและริมแม่น้ำ ซึ่งเมื่อฝนตกหนักแบบเฉียบพลัน น้ำไม่สามารถซึมหรือระบายได้ทัน ก็กลายเป็นน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มรุนแรง
อะไรทำให้เอเชียใต้เปราะบางต่อ Cloudburst เป็นพิเศษ
แม้ Cloudburst จะเกิดขึ้นได้ทั่วโลก แต่เอเชียใต้เผชิญความเสี่ยงสูงจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่
- ภูมิประเทศที่เปราะบาง หุบเขาแคบและทางลาดชันเป็นตัวเร่งให้เกิดน้ำหลากและดินถล่มเร็วขึ้น
- การพัฒนาแบบไม่ยั่งยืน การตัดถนนในป่า การสร้างเมืองโดยไม่คำนึงถึงภูมิประเทศ ทำให้พื้นที่รับน้ำธรรมชาติหายไป
- ขาดระบบเตือนภัยล่วงหน้า เทคโนโลยีเรดาร์และสถานีตรวจอากาศยังไม่เพียงพอในหลายพื้นที่ห่างไกล ทำให้ไม่สามารถแจ้งเตือนได้ทันท่วงที
Cloudburst กับ Rain Bomb ต่างกันตรงไหน?
ในยุคที่ภัยพิบัติจากสภาพอากาศเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น ฝนรุนแรงสองรูปแบบที่โลกต้องจับตา คือ “Cloudburst” และ “Rain Bomb” แม้ทั้งสองจะคล้ายกันเพราะเป็นฝนที่ตกหนักในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มีความแตกต่างทั้งในด้านลักษณะการเกิด พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
“Cloudburst” เป็นคำที่มีการใช้อย่างเป็นทางการในวงการอุตุนิยมวิทยา หมายถึงฝนที่ตกมากกว่า 100 มิลลิเมตร ในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง บนพื้นที่จำกัด มักเกิดในภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง โดยเฉพาะในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน หรือเนปาล ซึ่งมวลอากาศชื้นจากทะเลมรสุมปะทะกับอากาศเย็นจากภูเขาสูง ทำให้เกิดการควบแน่นรวดเร็ว กลายเป็นฝนตกหนักเฉียบพลัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในเวลาไม่กี่นาที
ในขณะที่ “Rain Bomb” เป็นคำที่โลกตะวันตกนิยมใช้เพื่อสื่อถึงฝนที่ตกหนักอย่างรุนแรงและฉับพลัน ราวกับ “ระเบิดฝน” โดยไม่จำเป็นต้องมีนิยามเชิงปริมาณแน่นอน Rain Bomb มักเกิดในเมืองหรือพื้นที่ราบ ซึ่งเมื่อฝนตกอย่างรวดเร็วในปริมาณมาก ระบบระบายน้ำไม่ทัน ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน ลักษณะนี้พบได้บ่อยขึ้นในประเทศอย่างสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย รวมถึงกรุงเทพฯ ซึ่งอากาศร้อนจัดทำให้อากาศอุ้มน้ำไว้ได้มาก ก่อนจะปล่อยออกมาในลักษณะฝนถล่ม
แม้ว่าชื่อเรียกต่างกัน แต่ทั้ง Cloudburst และ Rain Bomb ต่างสะท้อนถึงความรุนแรงของภาวะอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศ รวมถึงไทย ต้องเร่งเสริมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน พยากรณ์อากาศ และระบบเตือนภัย เพื่อรับมือกับความปกติใหม่ที่ทุกภูมิภาคต้องรับมือ แบบที่ไม่ใช่แค่ “ฝนตกหนัก” แต่เป็น “ภัยพิบัติ” เต็มรูปแบบ

โลกร้อนคือปัจจัยเสริมให้ Cloudburst รุนแรงขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) คือแรงผลักสำคัญที่ทำให้ฝนในรูปแบบ Cloudburst เกิดบ่อยและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ฝนตกหนักเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นมีหลายประการ อาทิ
- อุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้น ทำให้อากาศสามารถเก็บความชื้นได้มากขึ้น ฝนตกหนักยิ่งขึ้น
- มหาสมุทรอุ่นขึ้น เสริมพลังให้ลมมรสุมดูดซับไอน้ำได้มากขึ้น
- ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น ทำให้พื้นที่ภูเขาเปราะบาง เกิดโคลนถล่มง่าย
- มรสุมเปลี่ยนรูปแบบ จากฝนตกยาวนาน กลายเป็นตกหนักในเวลาสั้นและรุนแรง
ข้อมูลจากการศึกษาระยะยาวในอินเดียระบุว่า ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนครั้งของฝนตกหนักเฉียบพลันเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
ประเทศไทยควรเรียนรู้อะไรจาก Cloudburst
แม้ประเทศไทยจะไม่อยู่ในเขตหิมาลัย แต่เราก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากภัยพิบัติในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงอย่างภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและหุบเขา อาทิ เหตุการณ์ดินถล่มที่แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หรือโคลนถล่มในน่าน คือสัญญาณเตือนว่าไทยเองก็กำลังเผชิญภัยจากฝนตกเฉียบพลันเช่นเดียวกัน ประเทศไทยจึงควรดำเนินการเชิงรุก อาทิ ลงทุนในระบบเรดาร์ตรวจอากาศและระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง กำหนดเขตห้ามก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น ริมลำธาร หุบเขา และเชิงเขา ฟื้นฟูป่าไม้ เพื่อลดความเสี่ยงจากโคลนถล่มและเพิ่มความสามารถดูดซับน้ำ รวมถึงบูรณาการแผนการพัฒนาเมืองเข้ากับข้อมูลด้านภูมิอากาศในอนาคต

วิกฤตฝนถล่มกับเป้าหมาย SDG
ภัยพิบัติจาก Cloudburst สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDG) ในหลายมิติ อาทิ
- SDG 13 – Climate Action ประเทศต้องเร่งปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- SDG 11 – Sustainable Cities and Communities พัฒนาเมืองให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ
- SDG 15 – Life on Land ปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศภูเขา
- SDG 17 – Partnerships for the Goals ความร่วมมือระดับภูมิภาคจำเป็นต่อการรับมือกับภัยพิบัติข้ามพรมแดน
วันนี้แม้ว่าเราจะไม่สามารถหยุดยั้งเมฆฝนได้ แต่เราสามารถลดความสูญเสียจากมันได้ หากเราเรียนรู้ เข้าใจ และวางแผนล่วงหน้าอย่างจริงจัง Cloudburst อาจเกิดแล้วในอินเดียหรือปากีสถาน แต่ผลกระทบจาก Climate Change จะข้ามพรมแดนมาได้เสมอ และประเทศไทยเองต้องเตรียมพร้อมสำหรับ “ฝนลูกถัดไป” ที่ไม่ได้แค่เปียก…แต่อาจเป็นพลังทำลายล้าง