EU คุมเข้มออกกฎลดขยะอาหาร-ฟาสต์แฟชั่น ดันผู้ผลิตร่วมรับผิดชอบสิ่งแวดล้อม

10 ก.ย. 2568 - 06:46

  • EU ก่อขยะอาหาร 60 ล้านตันต่อปี เฉลี่ย 130 กิโลกรัมต่อคน ขณะเดียวกันมีขยะสิ่งทอถูกทิ้งปีละ 12.6 ล้านตัน แต่ถูกรีไซเคิลน้อยกว่า 1%

  • รัฐสภายุโรปสั่งลดขยะอาหารจากครัวเรือนและร้านอาหาร 30% ภายในปี 2030

  • บังคับผู้ผลิตจ่ายค่าจัดเก็บ-รีไซเคิลเสื้อผ้า พรม และที่นอน พร้อมเสนอเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน รับมือกระแสเสื้อผ้า “ใส่ครั้งเดียวทิ้ง”

EU คุมเข้มออกกฎลดขยะอาหาร-ฟาสต์แฟชั่น ดันผู้ผลิตร่วมรับผิดชอบสิ่งแวดล้อม

ความหวังของโลกลุกโชนอีกครั้ง หลังสหภาพยุโรป (EU) อนุมัติร่างกฎหมายสำคัญฉบับใหม่ที่มุ่งควบคุม ขยะอาหาร (Food Waste) และขยะสิ่งทอ โดยเฉพาะอุตสาหรรมเสื้อผ้า (Fast Fashion) โดยรัฐสภายุโรปได้ให้ความเห็นชอบขั้นสุดท้ายโดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ภายหลังการเจรจากับ 27 ประเทศสมาชิกเป็นไปอย่างยืดเยื้อ

กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดขยะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งในภาคอาหารและอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยจะถูกบรรจุในกรอบของ EU Waste Framework Directive ที่ได้รับการปรับปรุงล่าสุด

“ขยะอาหาร” ปัญหาใหญ่ในครัวเรือน

ประเทศสมาชิก EU ก่อให้เกิดขยะอาหารมากถึง 60 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ย 130 กิโลกรัมต่อคน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 132,000 ล้านยูโร และคิดเป็น 16% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบอาหารของยุโรป

คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ระบุ

ภายใต้กฎหมายใหม่ ประเทศสมาชิกจะต้องลดปริมาณขยะอาหารจากครัวเรือน ร้านค้า และร้านอาหารลง 30% ภายในปี 2030 และลดขยะจากภาคการผลิตอาหารลง 10% เมื่อเทียบกับระดับปี 2021–2023

Anna Zalewska สมาชิกรัฐสภายุโรปซึ่งเป็นผู้รายงานร่างกฎหมายนี้ เสนอแนวทางเฉพาะเพื่อบรรลุเป้าหมาย เช่น การส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ที่รูปลักษณ์ไม่สวย การปรับปรุงฉลากวันหมดอายุให้ชัดเจน และการสนับสนุนการบริจาคอาหารที่ยังรับประทานได้แต่ไม่สามารถขายได้

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจบริการ อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่ แสดงความกังวลต่อเป้าหมายที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยระบุว่าควรมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้ผู้บริโภคแทน เพราะกว่า 50% ของขยะอาหารเกิดขึ้นในระดับครัวเรือน

Bags of textile waste, seen in Paris in March 2025
Bags of textile waste, seen in Paris in March 2025

“ฟาสต์แฟชั่น” อุตสาหกรรมที่ตกเป็นเป้า

กฎหมายฉบับใหม่ยังขยายขอบเขตจากภาคอาหารไปยังอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยกำหนดให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าโดยเฉพาะฟาสต์แฟชั่น พรม และที่นอน ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บ คัดแยก และรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ของตน ภายใต้กลไกที่เรียกว่า Extended Producer Responsibility (EPR)

ในแต่ละปี EU สร้างขยะสิ่งทอมากกว่า 12.6 ล้านตัน ขณะที่อัตราการรีไซเคิลทั่วโลกยังไม่ถึง 1% การผลิตเสื้อยืดหนึ่งตัวอาจต้องใช้น้ำสะอาดถึง 2,700 ลิตร ซึ่งสะท้อนการใช้ทรัพยากรที่สูงเกินความจำเป็นในบริบทของฟาสต์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่ยั่งยืน

นอกจากนี้ EU ยังมีแผนจำกัดการนำเข้าสินค้าจากผู้ค้าปลีกฟาสต์แฟชั่นข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากจีน ด้วยข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าแบบเหมาจ่าย 2 ยูโรต่อพัสดุ หลังพบว่าปีที่ผ่านมามีพัสดุขนาดเล็กกว่า 4.6 พันล้านชิ้น ไหลเข้าสู่ตลาด EU โดย 91% มาจากจีน

“ฟาสต์แฟชั่นสุดขีดก่อให้เกิดภูเขาขยะสิ่งทอ และเป็นภัยต่อธุรกิจฝรั่งเศสและยุโรป รวมถึงสร้างมลพิษในระดับรุนแรง”

Laurent Castillo สมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศสฝ่ายขวา กล่าวภายหลังการผ่านกฎหมาย

เสียงวิจารณ์ ทำไมภาคเกษตรยังอยู่ใน “พื้นที่ปลอดภัย”?

แม้กฎหมายจะได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่กลุ่มสิ่งแวดล้อมกลับวิจารณ์ว่า “ภาคเกษตรกรรม” ถูกยกเว้นจากเป้าหมายการลดขยะอาหาร ทั้งที่เป็นหนึ่งในจุดเกิดขยะสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน

องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) แสดงความกังวลว่า การสูญเสียอาหารในภาคเกษตร ไม่ว่าจะก่อน ระหว่าง หรือหลังการเก็บเกี่ยวและการเลี้ยงสัตว์ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของปัญหาขยะอาหารทั่วโลก แต่กลับไม่ถูกจัดการอย่างจริงจังในกฎหมายฉบับนี้

การลดเป้าและความท้าทายใหม่

ข้อเสนอเบื้องต้นจากรัฐสภายุโรปเคยเสนอเป้าหมายการลดขยะที่เข้มข้นกว่านี้ คือ 40% สำหรับภาคบริโภค และ 20% สำหรับภาคการผลิต แต่ภายหลังได้ “ลดระดับลง” ในขั้นตอนเจรจากับคณะกรรมาธิการยุโรปและประเทศสมาชิก

แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะถือเป็นก้าวสำคัญของ EU ในการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมจากระบบอาหารและฟาสต์แฟชั่น แต่อาจยังไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ที่ต้องการลดขยะอาหารต่อหัวลงครึ่งหนึ่ง หรือราว 50% ภายในปี 2030

การผ่านกฎหมายฉบับนี้ของสหภาพยุโรปถือเป็นหมุดหมายใหม่ในการผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นในระดับทวีป

ไม่เพียงแต่เป็นมาตรการลดมลพิษหรือควบคุมขยะเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความพยายามในการจัดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน กฎหมายฉบับนี้คือจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างพฤติกรรมผู้บริโภค นโยบายภาครัฐ และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกที่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกัน

หากสหภาพยุโรปสามารถแปลงแนวทางเหล่านี้ให้กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างได้สำเร็จ ก็อาจกลายเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอื่นในการเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย SDGs12: การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์