จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.

8 ก.ย. 2568 - 03:13

  • สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างกฎหมาย PRTR ที่ภาคประชาชนผลักดันมากว่า 2 ปี ผ่านโหวตวาระแรก เห็นชอบ 434 จาก 442 เสียง

  • เปิดนิยามสำคัญในร่างกฎหมาย PRTR วางโทษชัด ไม่รายงาน-รายงานเท็จ เจอโทษปรับ-จำคุก ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมไทยสู่การจัดการมลพิษอย่างยั่งยืน

  • ประชาชนเข้าถึงได้ฟรีผ่านระบบออนไลน์ การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบมลพิษในพื้นที่ของตนเองได้

จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.

หลังจากภาคประชาชน โดยมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นรายชื่อประชาชน 12,165 รายชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติการรายงาน เปิดเผยข้อมูลการปล่อย และเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ… หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ร่างกฎหมาย PRTR” เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ท่ามกลางข่าวการแต่งตั้งนายกคนที่ 32 ของไทย สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเอกฉันท์รับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวทั้งสองฉบับในวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง “เห็นด้วย” อย่างท่วมท้น 434 เสียง จากผู้เข้าประชุม 442 คน (งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 4) นับเป็นความคืบหน้าเชิงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่องในรอบหลายปี และเป็นอีกก้าวที่สะท้อนถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลมลพิษในพื้นที่ของตน ฉายภาพความสำเร็จของกระบวนการทางกฎหมาย ดุจประตูสู่ชัยชนะด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน เพราะกฎหมาย PRTR จะเปิดทางให้ข้อมูลการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ ช่วยให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลมลพิษได้ด้วยตนเอง

จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.
จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.

เจาะสาระสำคัญ

นิยาม ขอบเขต และกลไกของร่าง พ.ร.บ. PRTR

หัวใจสำคัญของร่างกฎหมาย PRTR คือการสร้างระบบรายงานและเปิดเผยข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ครอบคลุม และเข้าถึงได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดผลกระทบจากสารมลพิษที่อาจปะปนอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยนิยามสำคัญ ประกอบด้วย

สารมลพิษ หมายถึง ธาตุหรือสารประกอบที่เมื่อถูกปล่อยออกจากแหล่งกำเนิด หรือมีอยู่ในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนได้


บัญชีรายชื่อสารมลพิษ หมายถึง สารที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม รวมถึงสารตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี สารเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะ เช่น เป็นสารก่อมะเร็ง สารที่มีพิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารที่ทำลายชั้นโอโซน หรือเป็นสารมลพิษอินทรีย์ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม


แหล่งกำเนิดมลพิษ หมายถึง ชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม อาคาร ยานพาหนะ สถานที่ประกอบกิจการ หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นแหล่งที่มาของสารมลพิษ


สถานประกอบการ ครอบคลุมถึงโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข

หากพิจารณาให้ดีตามร่างกฎหมายฉบับนี้ “สารมลพิษ” ถูกนิยามให้ครอบคลุมถึงธาตุหรือสารประกอบที่เมื่อถูกปล่อยออกมาแล้วอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์ หรือทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะกลุ่มสารอันตราย เช่น สารก่อมะเร็ง สารที่ทำลายชั้นโอโซน หรือสารพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ “แหล่งกำเนิดมลพิษ” ก็ไม่จำกัดเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงชุมชน อาคาร ยานพาหนะ หรือกิจกรรมอื่นใดที่มีโอกาสปล่อยมลพิษเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในขอบเขตของ “สถานประกอบการ” ที่ต้องรายงานข้อมูลให้กับกรมควบคุมมลพิษ

จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.
จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.

ใครต้องรายงาน? ใครเปิดเผย? ใครควบคุม?

ร่างกฎหมาย PRTR วางโครงสร้างเชิงระบบไว้อย่างชัดเจน โดยมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานและบุคคลต่างๆ ไว้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

คณะกรรมการกลาง ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน จะทำหน้าที่กำหนดบัญชีรายชื่อสารมลพิษ เกณฑ์ปริมาณที่ต้องรายงาน และประเภทของแหล่งกำเนิดมลพิษ พร้อมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อนออกประกาศ

ผู้มีหน้าที่รายงาน ได้แก่ บุคคล นิติบุคคล หรือหน่วยงานรัฐที่มีการผลิต ครอบครอง เคลื่อนย้าย หรือปล่อยสารมลพิษ จะต้องจัดทำรายงานข้อมูลชนิดและปริมาณสารมลพิษต่อกรมควบคุมมลพิษ

กรมควบคุมมลพิษ มีบทบาทเป็นหน่วยกลางรับรายงาน วิเคราะห์ จัดทำฐานข้อมูล และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสผ่านเว็บไซต์และช่องทางสื่อสารอื่นๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องประเมินการปล่อยมลพิษที่ไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน เช่น ควันจากการเผาในที่โล่ง และส่งข้อมูลนี้ให้กรมควบคุมมลพิษทุกปี

เมื่อกฎหมายเริ่มใช้ > โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดความเสี่ยง

เมื่อร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้จริง โรงงาน เหมืองแร่ หรือกิจกรรมอื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรม จะต้องรายงานข้อมูลสารมลพิษอย่างต่อเนื่อง และข้อมูลนี้จะไม่ถูกเก็บไว้เป็นความลับ แต่จะถูกเปิดเผยให้สาธารณชนเข้าถึงได้ง่าย

ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจะสามารถตรวจสอบข้อมูลสารพิษที่อยู่รอบตัวตนเองได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถตัดสินใจเรื่องสุขภาพ ที่อยู่อาศัย หรือการป้องกันตนเองได้ดียิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ เช่น เพลิงไหม้โรงงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถเข้าถึงข้อมูลสารเคมีที่มีอยู่ในสถานที่นั้นได้ทันที เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.
จับตา PRTR หลังสภาฯ ไฟเขียวรับหลักการร่างกฎหมายเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมตั้ง 39 กมธ.

ไม่รายงาน-แจ้งเท็จ มีโทษปรับ-จำคุก

เพื่อไม่ให้ระบบรายงานนี้กลายเป็นเพียง “พิธีกรรม” กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ไม่รายงานข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือรายงานข้อมูลเท็จ อาจต้องรับโทษทั้งทางอาญาและทางปกครอง เช่น ปรับเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ หรือจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี ขณะที่การขัดขืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็มีโทษจำคุกเช่นกัน

บทลงโทษในร่างกฎหมาย PRTR

  • ไม่รายงานข้อมูล โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะต้องได้รับโทษปรับทางปกครองในอัตราไม่เกินร้อยละหนึ่งของรายได้ในปีที่กระทำความผิด
  • รายงานข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน โดยไม่มีเหตุอันควร ก็จะได้รับโทษปรับทางปกครองในอัตราเดียวกัน
  • การรายงานข้อมูลเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 - 5,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ไม่จัดทำคำชี้แจงหรือมาชี้แจงตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 - 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

ความเคลื่อนไหวต่อไป > ตั้งกรรมาธิการศึกษารายละเอียด

หลังจากผ่านวาระแรก สภาฯ ได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาจำนวน 39 คน แบ่งเป็นตัวแทนจากคณะรัฐมนตรี ภาคประชาชนผู้เสนอร่าง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองต่างๆ โดยจะมีระยะเวลา 15 วัน สำหรับการแปรญัตติและพิจารณาในรายละเอียด ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป

กฎหมาย PRTR = เครื่องมือของประชาชน

การที่ร่างกฎหมาย PRTR ผ่านการพิจารณาในวาระแรก คือเครื่องยืนยันว่า “ข้อมูล” คือหัวใจของความยั่งยืนและ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” คือรากฐานของการคุ้มครองทรัพยากรของประเทศในระยะยาว

กฎหมายฉบับนี้นอกจากจะยกระดับมาตรฐานการจัดการมลพิษในประเทศไทยแล้ว ยังส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน การบริหารจัดการเมืองที่มีข้อมูลประกอบ และที่สำคัญที่สุดคือการคุ้มครอง “สิทธิของประชาชน” ในการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย

นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนจาก “สิทธิในการรู้” ไปสู่ “สิทธิในการปกป้องตนเอง” ด้วยข้อมูลที่เข้าถึงได้ และประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคของ “ความโปร่งใสด้านมลพิษ” อย่างเป็นรูปธรรม

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์