5 วาระโลกร้อนที่น่าจับตาใน COP30
ประเด็นสำคัญที่บราซิลในฐานะประเทศเจ้าภาพ และประธานการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 ต้องการมุ่งเน้น ประกอบด้วย 5 ข้อหลัก
1 การจัดส่งเป้าหมาย NDC 3.0- ยกระดับความุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก
- ทุกประเทศต้องส่ง เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ ณ ปี ค.ศ. 2035
- ให้สอดคล้องกับ เป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C ต่อยอดสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ. 2050
2 การจัดทำตัวชี้วัดตามเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก - Global Goal on Adaptation (GGA)
- ขับเคลื่อนตาม “แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” อย่างเป็นรูปธรรม
- กำหนดตัวชี้วัด ประเมินความก้าวหน้าและขีดความสามารถในการปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกัน
3 การผลักดัน Roadmap ตามเป้าหมายการเงินใหม่ -“Baku to Belém Roadmap to 1.3T”
- เป้าหมาย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2035
- ผลักดันระบบการเงินระหว่างประเทศให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่าง เท่าเทียม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
4 FRLD — กองทุนรับมือความสูญเสียและความเสียหาย
- เร่งกลไกการดำเนินงาน เชื่อมประสานกลไกอื่นภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างความพร้อมให้ประเทศที่มีความเสี่ยงและเปราะบาง เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เป็นรูปธรรม
5 การครบรอบ 10 ปีแห่งความตกลงปารีส
- มุ่งประเมินความก้าวหน้าประเทศภาคี ในการดำเนินงานด้าน การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับประเด็นเพิ่มเติมจากเจ้าภาพ “บราซิล” มุ่งเน้นความร่วมมือระดับโลก อาทิ
- หยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า
- เร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
- เชื่อมโยงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
- การต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย
- ผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก
ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกแค่ 1% ของโลก
สำหรับประเทศไทยแม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงแค่ร้อยละ 1 ของการปล่อยทั้งหมดในโลก แต่ต้องเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยความท้าทายนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ตั้งแต่การแถลงนโยบายรัฐบาลไปจนถึงการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน
“สุชาติ” เผย COP30 เร่งลดอุณหภูมิโลกให้เร็วขึ้น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดการประชุมอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ณ เมืองเบเลง บราซิล
ในการนี้นายสุชาติ ได้มอบหมายให้ นางสาวภัทรานันท์ ทองประพาฬ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้แทนปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2568 โดยประเทศเจ้าภาพได้กำหนดแนวคิด “Global Mutirão” ที่มีความหมายว่า “การรวมพลังของประชาคมโลกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
นายอังเดร อารันยา กอร์เรอา ดู ลาโก รัฐมนตรีช่วยด้านสภาพภูมิอากาศ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศของบราซิล ในฐานะประธาน COP30 ได้กล่าวเน้นย้ำถึง การรวมตัวเพื่อยกระดับการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแนวทางพหุภาคีระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องภายใต้ความตกลงปารีส และต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิโลกให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะติดตามประเด็นเจรจาที่สำคัญอย่างใกล้ชิด
ด้านนายลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐบราซิล ได้ยืนยันเป้าหมายที่จะเป็น “COP แห่งความจริง” หรือ “The COP of Truth” และเป็น COP แห่งการนำไปปฏิบัติ โดยเน้นย้ำว่าแม้จะมีความก้าวหน้าที่บรรลุผลนับตั้งแต่ความตกลงปารีส แต่ความก้าวหน้าระดับโลกยังคงไม่เพียงพอที่จะควบคุมภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เปิด Thailand Pavilion จัดกิจกรรมคู่ขนานเวที COP30 เป็นวันแรก ด้วยการเสวนา “Day One, We Rise: The COP Kick-Off with Youth Negotiators” ซึ่งมีตัวแทนจากกลุ่มเยาวชนจากหลากหลายประเทศ อาทิ แอลเบเนีย ยูกันดา ซูดาน โอมาน ชิลี และประเทศไทย ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะนักเจรจาทางด้านสภาพภูมิอากาศ (climate negotiators) และบทบาทหน้าที่ในการเจรจาทางด้านสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
แผนการลดการปล่อยก๊าซจาก 5 ภาคส่วนของไทย
เนื่องจากอุณหภูมิโลกในปัจจุบันสูงถึง 1.75 องศาเซลเซียส ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายความตกลงปารีส รัฐบาลไทยจึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยเลื่อนกำหนดเป้าหมายให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065 และเตรียมจัดส่ง NDC 3.0 ในปี ค.ศ. 2025
โดยมีแผนการลดการปล่อยก๊าซจาก 5 ภาคส่วนหลักให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2035 ได้แก่
- ภาคพลังงานและขนส่ง
- ภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
- ภาคการจัดการของเสีย
- ภาคการเกษตร
- ภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้
พร้อมกันนี้ ยังได้เร่งผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานใน 4 ด้าน ได้แก่ นโยบาย, การลดก๊าซเรือนกระจก, การปรับตัว และกลไกทางการเงิน โดยจะจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนไปสู่เป้าหมาย Net Zero ขณะเดียวกัน ไทยยังตั้งเป้าหมายพัฒนาตนเองให้เป็น “ศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิต” ในระดับอาเซียนอย่างครบวงจร เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนใหม่ๆ




