ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตั้งคำถามถึงรัฐบาล ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีว่า สังคมไทยขาดความเชื่อมั่นต่อกรณีการลงนามแร่แรร์เอิร์ธระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพราะรัฐบาลขาดหลักธรรมาภิบาล ไม่มีการชี้แจงกับประขาชน แต่ทุกคนกลับทราบข่าวจากเผยแพร่ผ่านทำเนียบขาวของสหรัฐฯ โดยเชื่อว่ารัฐบาลไม่เข้าใจว่าแร่สำคัญ และแร่แรร์เอิร์ธ มีความสำคัญอย่างไร นำไปใช้งานในด้านไหน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร
ซึ่งที่ผ่านมา จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา จนพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง นายกรัฐมนตรีทราบปัญหานี้หรือไม่ และมีแนวคิดในการจัดการปัญหานี้อย่างไร
การลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธไทย-สหรัฐฯ ทำให้สังคมไทยมีความเป็นห่วงว่าจะเสียเปรียบ และเป็นแค่ประเทศรับจ้างผลิตแร่ให้กับสหรัฐฯ เท่านั้น แม้จะมีการหยิบยกว่าจะมีการพัฒนาเทคโลยีให้กับประเทศไทย แต่สุดท้ายก็เชื่อว่าไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ก่อนลงนาม MOU ฉบับดังกล่าวแล้ว

ดร.สืบสกุล กล่าวอีกว่า ตามรายงานของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ระบุว่า ในฝั่งเมียนมา ตรงข้ามจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย มีการทำเหมืองบริเวณต้นน้ำแม่น้ำกก และไม่เคยหยุดดำเนินกิจการ แม้จะมีการทักท้วงจากประชาชนฝั่งไทย ภายหลังจากตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนักที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน อีกทั้งมีการเปิดเผยรายชื่อ บริษัทรัฐวิสาหกิจของจีนเป็นผู้ลงทุนนั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถีงการทำเหมืองที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ บทบาทของทางสถานเอกอัครราชฑูตจีน ประจำประเทศไทย ได้ออกมาประกาศว่า ยินดีที่จะแก้ไขปัญหา แต่ในทางตรงกันข้าม จีนรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นผู้ครอบครองและทำเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องกล้าออกมารับผิดชอบ เพราะไม่เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ที่มีกว่า 50 ปี จะเป็นอย่างไรต่อไป และหากว่ายังไม่ดำเนินการใดๆ จีนก็จะกลายเป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมระดับโลก

ในส่วนของประเทศสหรัฐฯ เชื่อว่าพยายามที่จะใช้ MOU ฉบับนี้ปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับประเทศคู่ค้าแร่แรร์เอิร์ธ ดังนั้น จะต้องเปิดเผยแผนการทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็จะข่ายใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการนำเข้าแร่ต่างๆ จากประเทศเมียนมา ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐฯ มีความพยายามเข้าไปพบกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลในการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐคะฉิ่น ดังนั้น จึงไม่น่าจะแปลกใจว่า MOU ฉบับนี้เป็นก้าวแรกของการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้อย่างเป็นทางการ และที่สำคัญประเทศไทยนำเข้าแร่จากประเทศมาเลเซีย เพื่อแปรูปส่งไปญี่ปุ่น จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สหรัฐฯ จะไปทำ MOU แร่แรร์เอิร์ธกับประเทศญี่ปุ่น
ดังนั้น ประเทศสหรัฐฯ ต้องตอบคำถามให้ชัดเจน และต้องปกป้องสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคแถบนี้ด้วย เพราะขณะนี้ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้ กรมควบคุมมลพิษ ตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงฝั่งตรงข้ามกับ สปป.ลาวด้วย เพราะก็เป็นที่ตั้งเหมืองแร่จำนวนมาก

ทางด้าน ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก wan wiriya ว่า ก่อนจะ MOU ควรมาอ่านงานวิจัยต่างๆ ก่อนว่าทำไมทำเหมืองที่แม่ฮ่องสอนและเชียงรายไม่ได้ ทำไมผมถึงไม่เห็นด้วยถึงจะมีแร่เยอะแค่ไหนก็ตามราวกับคุณจะปลุกก๊อตซิล่าออกมาขย้ำคน

ทำไมการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่นี้จึงอันตราย?
คำตอบง่ายๆ คือ เพราะมันเหมือนการไปเปิดฝาขวดก๊าซพิษที่ถูกฝังไว้ใต้ดิน
อธิบายง่ายๆ 3 ข้อ ดังนี้
1 พื้นที่ของเรามีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว
พื้นที่ภาคเหนือตอนบน (รวมถึงเชียงราย แม่ฮ่องสอน) มีชั้นหินตามธรรมชาติที่ปล่อย “ก๊าซเรดอน” ออกมา ก๊าซนี้เป็น "ภัยเงียบ" (ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น) ที่เป็นสาเหตุอันดับ 2 ของมะเร็งปอด (รองจากบุหรี่)
แค่ที่มันปล่อยออกมาตามธรรมชาติทุกวันนี้ ก็ทำให้คนในพื้นที่เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดสูงกว่าที่อื่นอยู่แล้ว ดูได้จากจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
2 ของที่อยากได้ (แร่) อยู่ปนกับของอันตราย (ต้นตอเรดอน)
แร่แรร์เอิร์ธที่เขาอยากขุด มันดันอยู่ปนกับ “สารกัมมันตรังสี” ซึ่งเป็น “ตัวแม่” ที่คอยผลิตก๊าซเรดอน
เหมือนเราอยากไปเก็บเห็ด แต่เห็ดนั้นขึ้นอยู่บน “กากนิวเคลียร์”
3 การทำเหมือง คือ “การไปปลุก” ก๊าซพิษ
ปกติก๊าซเรดอนส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในชั้นหินลึกใต้ดิน แต่การทำเหมือง (ทั้งการระเบิดหิน, การขุด, การบด หรือการสกัดธาตุออกมาก็ตาม) คือการไป “ทุบ” ให้หินแตก และ “เปิดทาง” ให้ก๊าซเรดอนที่ถูกขังไว้ พุ่งขึ้นมาบนผิวดินในปริมาณมหาศาล
เรากำลังอาศัยอยู่บนพื้นที่ที่ “มีพิษ” ซึมออกมาน้อยๆ อยู่แล้ว การทำเหมืองก็เหมือนการไป “ขุด” และ “สูบ” เอาพิษทั้งหมดที่อยู่ใต้ดินให้ขึ้นมาฟุ้งกระจายในอากาศที่เราหายใจ นี่คือการซ้ำเติมปัญหาเดิมให้รุนแรงขึ้นหลายเท่า และเพิ่มความเสี่ยงให้คนในพื้นที่เป็นมะเร็งปอดมากขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ดร.ว่าน ยังกล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับผลกระทบจากการพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก จนถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข กระทั่งทีมวิจัยได้รับประสานว่า แม่น้ำสาละวินมีสีน้ำขุ่น จึงลงพื้นที่สุ่มตรวจเก็บน้ำในแม่น้ำสาละวิน จำนวน 3 จุด ที่น้ำไหลผ่านอำเภอแม่สะเรียง และอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก่อนส่งตรวจที่สถาบันวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผลแล็ปรายงานว่า ทั้ง 3 จุด มีค่าสูงเกินค่ามาตรฐาน 0.04-0.0.05 มก./ล (ค่ามาตรฐาน 0.01 มก/ล) จึงถือได้ว่าน่าจะอีกหนึ่งพื้นที่เสี่ยง เพราะพบว่า มีการตั้งฐานของเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมาเป็นจำนวนมาก



