โครงการต้านทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่ของจีนได้รับการยกย่องในเวทีนานาชาติว่าเป็นความสำเร็จเชิงสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญ แต่เบื้องหลังต้นไม้สีเขียวกว่า 90 ล้านเฮกตาร์ คือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของชาวมองโกเลียใน ซึ่งต้องแลกมาด้วยอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และสิทธิในที่ดิน
กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีน ดอร์จ ชาวเลี้ยงสัตว์ชาวมองโกเลีย ยืนมองพื้นที่ที่เคยใช้เลี้ยงฝูงแกะของเขาด้วยสายตาเจ็บปวด วันนี้ฝูงสัตว์ของเขาเหลือเพียงราว 20 ตัว ถูกจำกัดให้อยู่ในคอกเล็กๆ รอบบ้านอิฐที่รัฐจัดสรรให้ ภายใต้นโยบายห้ามเลี้ยงสัตว์อย่างอิสระที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กำแพงเขียวยักษ์” ของรัฐบาลจีน

โครงการนี้ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 มีเป้าหมายชัดเจนคือ ต่อต้านการขยายตัวของทะเลทรายทางตอนเหนือของจีน โดยเฉพาะทะเลทรายคูบูชี และท่ากละมะกัน ผ่านการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ พืชคลุมดินทนแล้ง และล่าสุดคือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดลมและให้ร่มเงาแก่พืช โครงการนี้ได้รับการโปรโมตในระดับโลกโดยรัฐบาลจีน และได้รับคำชมเชยในเวทีระหว่างประเทศว่าเป็นแบบอย่างของการฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่แห้งแล้ง
รายงานของสหประชาชาติในปี 2015 ชี้ว่าโครงการนี้ช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่และสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง ขณะเดียวกันรัฐจีนตั้งเป้าจะปลูกป่าเพิ่มอีก 70 ล้านเฮกตาร์ ภายในปี 2050 ซึ่งมีขนาดเทียบเท่าประเทศฝรั่งเศส นับเป็นความสำเร็จในเชิงตัวเลขและการฟื้นฟูภูมิทัศน์เป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัด โดยเฉพาะในเขตที่เคยเป็นทะเลทรายซึ่งปัจจุบันกลับกลายเป็นทุ่งดอกทานตะวันหรือแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรอย่างซิสแตนช์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จนี้มีต้นทุนแฝงที่ไม่สามารถวัดด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียวได้ ชาวมองโกเลียในหลายหมื่นครอบครัว โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ กลับต้องสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยั่งยืนมาหลายชั่วอายุคน
นักกิจกรรมมองโกเลียในในสหรัฐฯ อย่าง เอ็งเกบาตู โตโกช็อก ระบุว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่บังคับให้ชาวบ้านย้ายถิ่นฐานเท่านั้น แต่ยังตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดิน และทำลายแนวปฏิบัติด้านการจัดการทุ่งหญ้าที่มีความสมดุลทางนิเวศวิทยาอย่างลึกซึ้งในระดับวัฒนธรรม การเร่ร่อนอย่างอิสระในมองโกเลียในหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อราวสิบปีก่อน
ในปี 2017 นักวิจัยจีนบางกลุ่มยอมรับว่า บทบาทของการเลี้ยงสัตว์ในกระบวนการแปรสภาพเป็นทะเลทรายอาจถูกประเมินสูงเกินจริง โดยปัจจัยสำคัญที่แท้จริงกลับเป็นการทำเหมือง การเกษตรเชิงเดี่ยว และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่แม้จะมีข้อสงสัยเช่นนั้น มาตรการบังคับยังคงเดินหน้าต่อไป พร้อมกับการลาดตระเวนพื้นที่ และการจับกุมผู้ฝ่าฝืน ซึ่งก่อให้เกิดการประท้วงของชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง

พืชต่างถิ่นทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม
ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อมเตือนว่า การเลือกพืชต่างถิ่น หรือพืชที่ใช้น้ำมากในการฟื้นฟูพื้นที่ทะเลทราย อาจย้อนกลับมาก่อผลเสียมากกว่าผลดี นักวิทยาศาสตร์จีนอย่าง จาง ยันปิง ชี้ว่า การใช้ต้นสนและป๊อปลาร์ที่ปลูกไว้เมื่อสิบปีก่อนมีแนวโน้มดึงน้ำใต้ดินมากเกินไป ส่งผลให้ระบบนิเวศบริเวณนั้นเสื่อมโทรมลงเพิ่มเติม เช่นเดียวกับวัง ซูไอ ศาสตราจารย์ภูมิศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งนอร์มอล ที่กล่าวว่า ความพยายามเปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นพื้นที่สีเขียวทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด เพราะทะเลทรายก็มีหน้าที่ทางระบบนิเวศที่สำคัญเช่นเดียวกัน
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ โครงการกำแพงเขียวยังคงเดินหน้าด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาลและภาพลักษณ์ในระดับโลกที่แข็งแกร่ง ชาวฮั่นจำนวนมากที่อพยพเข้าสู่พื้นที่ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยมีทั้งเกษตรกรที่ปลูกพืชสมุนไพร และผู้ประกอบการที่เปิดธุรกิจท่องเที่ยว เช่น รถเอทีวีในทะเลทรายคูบูชี ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว
แต่สำหรับคนอย่างดอร์จ สิ่งที่เขาสูญเสียคืออิสรภาพ วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผืนแผ่นดิน ที่ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยรายได้หรือเทคโนโลยีใดๆ

เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมกับสิทธิมนุษยชน
โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่เช่น “กำแพงเขียวยักษ์” ของจีน เป็นตัวอย่างชัดเจนของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมกับสิทธิมนุษยชนและความยั่งยืนทางวัฒนธรรม ในระดับมหภาค โครงการเช่นนี้อาจได้รับการยกย่องว่าช่วยลดปัญหาฝุ่นพายุ ลดภาวะโลกร้อน และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ในระดับจุลภาค ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชากรชายขอบกลับไม่อาจมองข้ามได้

เมื่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมถูกขับเคลื่อนด้วยกลไกรัฐเบ็ดเสร็จ และมองข้ามเสียงของชุมชนเจ้าของพื้นที่ ผลที่ตามมาอาจเป็นการ “เขียวอย่างไร้วิญญาณ” ซึ่งอาจย้อนกลับมาทำลายทั้งระบบนิเวศ และความเชื่อมั่นของประชาชนในระยะยาว
การพัฒนาอย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่คือการรักษาความหลากหลายทั้งทางชีวภาพและทางวัฒนธรรมให้เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเท่าเทียม