พายุที่ซัดถล่มถี่ขึ้น น้ำท่วมใหญ่ คลื่นความร้อนและภัยแล้งที่ไม่อาจคาดการณ์ ทั้งหมดนี้เป็นภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนที่คนรุ่นก่อนพูดถึงในฐานะ “ปัญหาในอนาคต” ทว่า ปัจจุบันความถี่และความรุนแรงของหายนะกำลังสะท้อนว่าโลกก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ความไม่แน่นอน และกลายเป็น “ความปกติใหม่” ไปแล้ว
เวทีเสวนา From Climate Change to Disaster ในงาน Sustainability Expo 2025 ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนประกอบด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล จาก BiOST ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และ กรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม ต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า สังคมไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้ได้อีกต่อไป
ไทยติดโผประเทศเสี่ยงภัยพิบัติของโลก
รายงาน Global Climate Risk Index ของ Germanwatch จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ของโลกที่เผชิญความเสี่ยงมากที่สุด ด้วยภูมิประเทศที่มีแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จังหวัด ซึ่งต้องรับแรงปะทะจากพายุเขตร้อนและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นโดยตรง

“ภัยพิบัติครั้งเดียว สามารถเขย่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ”
— รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าว
ผู้เสวนาร่วมยกตัวอย่างน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.44 ล้านล้านบาท หรือกว่า 10% ของ GDP เพราะโรงงานเล็กใหญ่หลายแห่งต้องหยุดการสายพานผลิต ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกสะดุดทันที
โลกแตะเส้นอันตราย กลายเป็นภัยพิบัติลูกโซ่
หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นแล้ว 1.75 องศาเซลเซียส และกำลังใกล้แตะเพดาน 2 องศาเซลเซียส ที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส (Paris Agreement) หากถึงจุดนี้ โลกอาจเข้าสู่ “Tipping Point” หรือจุดพลิกผันที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล จาก BiOST เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงสร้างภัยพิบัติครั้งเดียวจบ แต่กำลังทำให้โลกเผชิญ “หายนะแบบลูกโซ่” เช่น ภัยแล้งทำให้ป่าแห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า ขณะที่ไฟป่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล เร่งให้โลกอุ่นขึ้นอีก ตัวอย่างไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียปล่อยคาร์บอนเทียบเท่ากับทั้งประเทศไทยและสหราชอาณาจักรรวมกันทั้งปี หรือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ไม่เพียงเพิ่มระดับน้ำทะเล แต่ยังอาจปลุกเชื้อโรคโบราณในชั้น Permafrost ให้กลับมาระบาด สร้างโรคอุบัติใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อน
กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เสี่ยงจมน้ำจริงไหม?
หากแนวโน้มโลกร้อนยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2050 ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 1 เมตร และกรณีเลวร้ายสุดอาจแตะ 2.5 เมตรสำหรับกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เมืองที่มีระดับพื้นดินสูงกว่าทะเลเพียง 1.5 เมตร ผลลัพธ์คือสภาพ “เมืองจมน้ำ” ที่อาจทำให้ผู้คนนับล้านไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โดยธนาคารโลกเคยจัดให้กรุงเทพฯ อยู่ใน 10 เมืองใหญ่ที่เสี่ยงสูงสุดต่อภาวะน้ำท่วมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่มีมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง
เราจะอยู่กับหายนะยังไง?
คำถามสำคัญในยุคที่โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ศ.ดร.พิสุทธิ์ ชี้ว่าคนไทยทุกคนจำเป็นต้องมี “Climate Literacy” หรือความรู้ด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเข้าใจผลกระทบและลงมือรับมือได้ถูกต้อง ไม่ใช่แค่หน้าที่ของนักวิจัยหรือรัฐอีกต่อไป แม้แต่แม่ค้าขายไก่ย่างก็ต้องรู้ว่าโลกที่ร้อนขึ้นจาก 1.5 เป็น 2 องศา หมายถึงวิกฤตระดับไหน หากไม่เข้าใจก็เสี่ยงหลงเชื่อว่าเป็นแค่เรื่องของฟ้าฝนหรือภัยธรรมชาติปกติ ทั้งที่หลายพื้นที่อาจเดินทางมาถึง “จุดที่ไม่อาจย้อนกลับ” แล้ว
“วันนี้เรื่องที่คนกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ต้องรู้คือ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ น้ำทะเลสูงแค่ไหน เราปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นต์วันละเท่าไหร่ และถ้าต้องลด 30–50% ตามเป้า NDC 3.0 จะลดตรงไหน สำคัญกว่านั้นคือ พื้นที่นั้นเคยเจอภัยพิบัติอะไร แล้ววันนี้ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เพื่อวางแผนลดความเสี่ยงในระยะยาว”
— ศ.ดร.พิสุทธิ์ ระบุ
อาหารและเศรษฐกิจสั่นคลอน
เมื่อภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหาร ดร.กรรณิการ์ เฉิน อธิบายว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร พืชหลายชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในพื้นที่เดิมได้ เช่น ภาคอีสานและภาคเหนือที่ฝนลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลผลิตการเกษตรตกต่ำทันที

ขณะเดียวกัน ปัญหาการลดจำนวนของ “ผึ้ง” ในระบบนิเวศก็ยิ่งทำให้การเพาะปลูกเสี่ยงมากขึ้น ข้อมูลจาก FAO ระบุว่า กว่า 70% ของพืชอาหารโลกต้องพึ่งพาการผสมเกสรจากแมลง หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ห่วงโซ่อาหารที่มนุษย์พึ่งพาอาจสะดุดอย่างรุนแรง
สำหรับประเทศไทย งบประมาณที่ใช้เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติในแต่ละปีสูงถึงหลักแสนล้านบาท แต่ยังมีการลงทุนเชิงป้องกันที่ไม่เพียงพอ หากรัฐเลือกจะหันมาลงทุนในนวัตกรรม การวางผังเมืองเชิงป้องกัน และโครงสร้างพื้นฐานแบบ Nature-based Solutions ไม่เพียงลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างความยืดหยุ่นให้สังคมไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้า
30 ครั้งที่เวทีใหญ่(ยัง)ไม่ช่วยโลก
แม้จะมีการประชุม COP กว่า 30 ครั้ง แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโลกก็ยังไม่ลดลง ประเทศพัฒนาแล้วยังคงสร้างความมั่งคั่งด้วยฟอสซิล ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาประเทศหรือประเทศที่ไม่ได้ทำให้โลกร้อน กลับไม่ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ความล่าช้าและความไม่จริงใจในการเจรจาระดับนานาชาติ ยิ่งทำให้ประเทศเปราะบางเสี่ยงจมอยู่กับหายนะก่อนใคร
“...นี่คือการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม” ผู้ร่วมเสวนาเปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำเหมือนการแข่งวิ่งที่บางประเทศใส่รองเท้าวิ่งคุณภาพสูง ขณะที่อีกหลายประเทศต้องวิ่งด้วยเท้าเปล่า

บทสรุปจากเวทีนี้จึงชัดเจนว่า “ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นแน่นอน” ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ คำถามต่อไปคือ เราจะอยู่กับมันอย่างไร? เพราะโลกในอีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้าจะเต็มไปด้วยหายนะที่คาดไม่ถึง แต่หากมนุษย์เลือกจะร่วมมือกันลดความรุนแรง และสร้างความยืดหยุ่น เราอาจมีเวลามากขึ้นในการปรับตัวและรักษาพื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นถัดไป