From Climate Change to Disaster ประเทศไทยท่ามกลางภัยพิบัติซ้ำซ้อน จะปรับตัวทันหรือไม่?

1 ต.ค. 2568 - 02:43

  • ไทยเคยติดอันดับ 9 ประเทศเสี่ยงภัยพิบัติมากที่สุดในโลก Global Climate Risk Index ของ Germanwatch

  • น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้ GDP สูญหายกว่า 1.44 ล้านล้านบาท

  • กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เสี่ยงจมน้ำจริงไหม? ภายในปี 2050 ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 1–2.5 เมตร ส่งผลให้เมืองหลักของไทยต้องเผชิญความเสี่ยงหนัก

From Climate Change to Disaster ประเทศไทยท่ามกลางภัยพิบัติซ้ำซ้อน จะปรับตัวทันหรือไม่?

พายุที่ซัดถล่มถี่ขึ้น น้ำท่วมใหญ่ คลื่นความร้อนและภัยแล้งที่ไม่อาจคาดการณ์ ทั้งหมดนี้เป็นภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนที่คนรุ่นก่อนพูดถึงในฐานะ “ปัญหาในอนาคต” ทว่า ปัจจุบันความถี่และความรุนแรงของหายนะกำลังสะท้อนว่าโลกก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ความไม่แน่นอน และกลายเป็น “ความปกติใหม่” ไปแล้ว

เวทีเสวนา From Climate Change to Disaster ในงาน Sustainability Expo 2025 ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนประกอบด้วย นายปวิช เกศววงศ์  รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล จาก BiOST ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และ กรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม ต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า สังคมไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้ได้อีกต่อไป

ไทยติดโผประเทศเสี่ยงภัยพิบัติของโลก

รายงาน Global Climate Risk Index ของ Germanwatch จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ของโลกที่เผชิญความเสี่ยงมากที่สุด ด้วยภูมิประเทศที่มีแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จังหวัด ซึ่งต้องรับแรงปะทะจากพายุเขตร้อนและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นโดยตรง

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

“ภัยพิบัติครั้งเดียว สามารถเขย่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ”

รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าว

ผู้เสวนาร่วมยกตัวอย่างน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.44 ล้านล้านบาท หรือกว่า 10% ของ GDP เพราะโรงงานเล็กใหญ่หลายแห่งต้องหยุดการสายพานผลิต ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกสะดุดทันที

โลกแตะเส้นอันตราย กลายเป็นภัยพิบัติลูกโซ่

หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นแล้ว 1.75 องศาเซลเซียส และกำลังใกล้แตะเพดาน 2 องศาเซลเซียส ที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส (Paris Agreement)  หากถึงจุดนี้ โลกอาจเข้าสู่ “Tipping Point” หรือจุดพลิกผันที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล Director Climate Economy Agenda BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST)
ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล Director Climate Economy Agenda BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST)

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล จาก BiOST เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงสร้างภัยพิบัติครั้งเดียวจบ แต่กำลังทำให้โลกเผชิญ “หายนะแบบลูกโซ่” เช่น ภัยแล้งทำให้ป่าแห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า ขณะที่ไฟป่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล เร่งให้โลกอุ่นขึ้นอีก ตัวอย่างไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียปล่อยคาร์บอนเทียบเท่ากับทั้งประเทศไทยและสหราชอาณาจักรรวมกันทั้งปี หรือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ไม่เพียงเพิ่มระดับน้ำทะเล แต่ยังอาจปลุกเชื้อโรคโบราณในชั้น Permafrost ให้กลับมาระบาด สร้างโรคอุบัติใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อน

กรุงเทพฯ สมุทรปราการ เสี่ยงจมน้ำจริงไหม?

หากแนวโน้มโลกร้อนยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2050 ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 1 เมตร และกรณีเลวร้ายสุดอาจแตะ 2.5 เมตรสำหรับกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เมืองที่มีระดับพื้นดินสูงกว่าทะเลเพียง 1.5 เมตร ผลลัพธ์คือสภาพ “เมืองจมน้ำ” ที่อาจทำให้ผู้คนนับล้านไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โดยธนาคารโลกเคยจัดให้กรุงเทพฯ อยู่ใน 10 เมืองใหญ่ที่เสี่ยงสูงสุดต่อภาวะน้ำท่วมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่มีมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง

เราจะอยู่กับหายนะยังไง?

คำถามสำคัญในยุคที่โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ศ.ดร.พิสุทธิ์ ชี้ว่าคนไทยทุกคนจำเป็นต้องมี “Climate Literacy” หรือความรู้ด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเข้าใจผลกระทบและลงมือรับมือได้ถูกต้อง ไม่ใช่แค่หน้าที่ของนักวิจัยหรือรัฐอีกต่อไป แม้แต่แม่ค้าขายไก่ย่างก็ต้องรู้ว่าโลกที่ร้อนขึ้นจาก 1.5 เป็น 2 องศา หมายถึงวิกฤตระดับไหน หากไม่เข้าใจก็เสี่ยงหลงเชื่อว่าเป็นแค่เรื่องของฟ้าฝนหรือภัยธรรมชาติปกติ ทั้งที่หลายพื้นที่อาจเดินทางมาถึง “จุดที่ไม่อาจย้อนกลับ” แล้ว

“วันนี้เรื่องที่คนกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ต้องรู้คือ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ น้ำทะเลสูงแค่ไหน เราปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นต์วันละเท่าไหร่ และถ้าต้องลด 30–50% ตามเป้า NDC 3.0 จะลดตรงไหน สำคัญกว่านั้นคือ พื้นที่นั้นเคยเจอภัยพิบัติอะไร แล้ววันนี้ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เพื่อวางแผนลดความเสี่ยงในระยะยาว”

ศ.ดร.พิสุทธิ์ ระบุ

อาหารและเศรษฐกิจสั่นคลอน

เมื่อภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหาร ดร.กรรณิการ์ เฉิน อธิบายว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร พืชหลายชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในพื้นที่เดิมได้ เช่น ภาคอีสานและภาคเหนือที่ฝนลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลผลิตการเกษตรตกต่ำทันที

ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ขณะเดียวกัน ปัญหาการลดจำนวนของ “ผึ้ง” ในระบบนิเวศก็ยิ่งทำให้การเพาะปลูกเสี่ยงมากขึ้น ข้อมูลจาก FAO ระบุว่า กว่า 70% ของพืชอาหารโลกต้องพึ่งพาการผสมเกสรจากแมลง หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ห่วงโซ่อาหารที่มนุษย์พึ่งพาอาจสะดุดอย่างรุนแรง

สำหรับประเทศไทย งบประมาณที่ใช้เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติในแต่ละปีสูงถึงหลักแสนล้านบาท แต่ยังมีการลงทุนเชิงป้องกันที่ไม่เพียงพอ หากรัฐเลือกจะหันมาลงทุนในนวัตกรรม การวางผังเมืองเชิงป้องกัน และโครงสร้างพื้นฐานแบบ Nature-based Solutions ไม่เพียงลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างความยืดหยุ่นให้สังคมไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้า

30 ครั้งที่เวทีใหญ่(ยัง)ไม่ช่วยโลก

แม้จะมีการประชุม COP กว่า 30 ครั้ง แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโลกก็ยังไม่ลดลง ประเทศพัฒนาแล้วยังคงสร้างความมั่งคั่งด้วยฟอสซิล ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาประเทศหรือประเทศที่ไม่ได้ทำให้โลกร้อน กลับไม่ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ความล่าช้าและความไม่จริงใจในการเจรจาระดับนานาชาติ ยิ่งทำให้ประเทศเปราะบางเสี่ยงจมอยู่กับหายนะก่อนใคร

...นี่คือการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม ผู้ร่วมเสวนาเปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำเหมือนการแข่งวิ่งที่บางประเทศใส่รองเท้าวิ่งคุณภาพสูง ขณะที่อีกหลายประเทศต้องวิ่งด้วยเท้าเปล่า

กรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม
กรุณา บัวคำศรี ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม

บทสรุปจากเวทีนี้จึงชัดเจนว่า “ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นแน่นอน” ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ คำถามต่อไปคือ เราจะอยู่กับมันอย่างไร? เพราะโลกในอีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้าจะเต็มไปด้วยหายนะที่คาดไม่ถึง แต่หากมนุษย์เลือกจะร่วมมือกันลดความรุนแรง และสร้างความยืดหยุ่น เราอาจมีเวลามากขึ้นในการปรับตัวและรักษาพื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นถัดไป

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์