ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเปิดการซื้อขายวันศุกร์ในแดนลบ หลังตามทิศทางการอ่อนตัวของตลาดวอลล์สตรีท ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนหน้า และกระแสเก็งกำไรต่อความร้อนแรงเกินจริงของหุ้นเทคโนโลยี
แรงกดดันจากความไม่แน่นอนของเฟด
ภายหลังสถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ คลี่คลาย นักลงทุนหันไปจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟดครั้งถัดไป ซึ่งต้องตัดสินใจว่าจะลดต้นทุนการกู้ยืมหรือไม่ ตลอดปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากความหวังต่อการลดดอกเบี้ย แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ โดยเฟดได้ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดตลอดสองการประชุมล่าสุด
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของ Jerome Powell ประธานเฟด เมื่อเดือนก่อนที่ระบุว่า “การลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน” ได้สร้างความลังเลเพิ่มเติม ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายยังย้ำท่าทีระมัดระวังเช่นกัน
Alberto Musalem ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ชี้ว่า มี “พื้นที่จำกัด” สำหรับการผ่อนคลายนโยบายโดยไม่กระทบเสถียรภาพ ขณะที่ Neel Kashkari จากเฟดมินนีอาโปลิสระบุว่า กิจกรรมเศรษฐกิจยังแสดง “ความยืดหยุ่นมากกว่าที่คาด”
ตลาดเอเชียแดงทั่วกระดาน
หุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงแรงทั้งสามดัชนี โดย Nasdaq ดิ่งกว่า 2% ขณะที่ Dow Jones และ S&P 500 ลดลงราว 1.7% ส่งผลให้ตลาดเอเชียปรับฐานตาม โตเกียว ฮ่องกง ซิดนีย์ และไทเป ปิดลบอย่างน้อย 1% ขณะที่โซลร่วงกว่า 2% แม้ก่อนหน้านี้เพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ ด้านเซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ และเวลลิงตันต่างเผชิญแรงขายเช่นกัน โดยเช้าวันนี้ตลาดหุ้นเอเชียเปิดการซื้อขายในแดนลบทั้งกระดาน
ราคาน้ำมันฟื้นจากความเสี่ยงด้านอุปทานรัสเซีย
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นกว่า 2% หลังองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เตือนว่า มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ บังคับใช้ล่าสุดต่อรัสเซีย โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งและสอง อาจกระทบกำลังผลิตและ “ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อตลาดน้ำมันโลก”
การปรับขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังราคาน้ำมันอ่อนตัวต่อเนื่องในวันก่อน จากรายงานรายเดือนของโอเปกที่ประเมินว่าอุปทานอาจล้นตลาดในไตรมาส 3 ปีนี้


