รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเปลี่ยนแนวทางรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ โดยเพิ่มการติดตามประเทศที่สนับสนุนการเปลี่ยนเพศในเด็ก และโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) เป็นครั้งแรก
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ส่งคำสั่งไปยังสถานทูตสหรัฐทั่วโลกให้รายงานประเด็นสำคัญที่สะท้อนนโยบายหลักของรัฐบาลทรัมป์ ในรายงานประจำปีที่จะมีความกระชับมากขึ้น
โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ทอมมี่ ปิกอตต์ กล่าวว่า "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุดมการณ์ทำลายล้างใหม่ได้เปิดทางให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน"
การติดตามประเด็นใหม่
รายงานฉบับใหม่จะขอให้สถานทูตสหรัฐรายงานเกี่ยวกับประเทศที่อนุญาตการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเพศ นอกจากนี้ยังให้ติดตามการบังคับใช้นโยบาย เช่น การดำเนินการเชิงบวกหรือความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่มที่ให้การปฏิบัติพิเศษแก่แรงงานตามเชื้อชาติ เพศ หรือวรรณะ
ประเด็นเหล่านี้สะท้อนความสำคัญสูงสุดของทรัมป์ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง กระทรวงต่างประเทศภายใต้รูบิโอ ยืนกรานให้หนังสือเดินทางสะท้อนเพศตามที่ระบุในใบเกิด ยุติการอนุญาตให้ประชาชนเลือกเพศเองที่ใช้มาหลายทศวรรษ และยกเลิกตัวเลือก "X" สำหรับเพศที่เริ่มใช้ภายใต้ แอนโทนี บลินเกน รัฐมนตรีคนก่อน
การยุตินโยบายสิทธิ LGBTQ
รัฐบาลโจ ไบเดน เคยทำให้สิทธิ LGBTQ เป็นแกนหลักของนโยบายต่างประเทศ โดยแต่งตั้งทูตพิเศษของกระทรวงต่างประเทศคนแรกเพื่อสนับสนุนกลุ่มเพศทางเลือกในต่างประเทศ ซึ่งรูบิโอได้ยุติตำแหน่งนี้ทันที
ในรายงานสิทธิมนุษยชนฉบับแรกที่เปิดเผยโดยรัฐบาลทรัมป์ชุดที่สอง ระบุให้สิทธิ LGBTQ ถูกลดความสำคัญลงอย่างมาก โดยลบการอ้างอิงแม้กระทั่งประเทศ เช่น ยูกันดา ที่มีกฎหมายต่อต้านการรักร่วมเพศที่มีโทษประหารชีวิต
แนวคิด "สิทธิธรรมชาติ"
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศ เปิดเผยว่า รูบิโอพยายามปรับโฟกัสไปที่ "สิทธิธรรมชาติ" ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับนักอนุรักษนิยมเชิงปรัชญา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า "สหรัฐฯ ยังคงมุ่งมั่นต่อการยอมรับของปฏิญญาอิสรภาพว่ามนุษย์ทุกคนได้รับพรจากผู้สร้างด้วยสิทธิที่ไม่อาจถูกลิดรอน"
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลทรัมป์วิจารณ์พันธมิตรในยุโรป เรื่องการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ อย่างไรก็ตาม รูบิโอเพิกถอนวีซ่าของชาวต่างชาติเพราะคำพูดของพวกเขา รวมถึงแถลงการณ์ที่ต่อต้านการรุกรานทางทหารของอิสราเอลในกาซา
