อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 2568 (เวลา 09.45 น.)
นางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุ “แมตโม” ฉบับที่ 3 (279/2568) ระบุว่า
เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (4 ต.ค. 68) พายุโซนร้อนกำลังแรง “แมตโม” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 17.7 องศาเหนือ ลองจิจูด 117.4 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น และคาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ ประเทศจีน ลงสู่อ่าวตังเกี๋ย และขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 5-6 ต.ค. หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ เนื่องจากมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมในช่วงวันที่ 6–7 ต.ค. 68 โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย
จากอิทธิพลของพายุ “แมตโม” ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 5–7 ต.ค. 68 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งรวมทั้งด้านรับมรสุมของภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือโทร 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


นักวิชาการเตือน ปี 68 น้ำไม่เท่าปี 54
แต่บางพื้นที่เสี่ยงท่วมหนัก เหตุโครงสร้างขวางทางน้ำ–น้ำทะเลหนุน
ทางด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลน้ำท่วมสะสมปี 2568 พบว่าปริมาณน้ำผ่าน จ.นครสวรรค์ ณ เดือนกันยายน อยู่ที่ประมาณ 9,255 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 62 ของปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดมหาอุทกภัย ส่งผลให้ ความเสี่ยงน้ำหลากระดับเดียวกับปี 2554 มีน้อย
โดยใช้เทคโนโลยี AI (Deep Learning) ร่วมวิเคราะห์ พบว่า หากไม่มีพายุใหม่เข้าซ้ำอย่างน้อย 2 ลูก เหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำจะไม่แตะระดับปี 2554 อย่างแน่นอน แม้ขณะนี้จะมีพายุ "Matmo" เคลื่อนตัวเข้าตอนบนของประเทศก็ตาม

ขณะเดียวกัน ปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ เช่น เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเขื่อนสิริกิติ์จะระบายไม่เกิน 50 ล้าน ลบ.ม./วัน และเขื่อนภูมิพลก็ไม่ถึง 130 ล้าน ลบ.ม./วัน ส่งผลให้โอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงกลับอยู่ที่ระดับน้ำในพื้นที่บางจุดที่อาจสูงขึ้นกว่าที่คาด แม้ปริมาณน้ำน้อยกว่า รศ.ดร.เสรี อธิบายว่า สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เช่น การสร้างคันกั้นน้ำ ถนน อาคาร สาธารณูปโภคที่ขวางทางน้ำ ทำให้การระบายยากขึ้น น้ำไหลเร็ว แรง และไม่มีที่ไป รวมถึงยังเผชิญกับปรากฏการณ์ น้ำทะเลหนุน ที่ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นในพื้นที่ลุ่มต่ำคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2564–2565
"เรายังไม่รู้ตัวเองว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง ต่างหน่วยงานต่างทำ พอผลกระทบมา ก็ไม่มีใครรับผิดชอบชัดเจน" รศ.ดร.เสรี ระบุ พร้อมเตือนว่าคันกั้นน้ำริมแม่น้ำและลำคลองหลายจุดเริ่มชำรุดและอาจแตกได้ในฤดูน้ำหลาก ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยตรง
นอกจากนี้ ยังได้สร้างฉากทัศน์จำลองกรณีการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาและพระราม 6 โดยไม่มีการเสริมคันกั้นน้ำ พบว่า ฉากทัศน์ปี 2565 อาจเป็นกรณีเลวร้ายที่สุดหากระบายน้ำสูงสุด 3,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งจะกระทบพื้นที่ภาคกลางตั้งแต่ชัยนาทลงมาอย่างรุนแรง
รศ.ดร.เสรี เสนอว่าการตัดสินใจเรื่องน้ำควรเป็นระบบ ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง หรือท้องถิ่นทำแบบโดดเดี่ยว เพราะในความเป็นจริง การเสริมคัน การเปิด-ปิดประตูน้ำ หรือแม้แต่ระดับน้ำทะเล ล้วนส่งผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ และไม่มีแบบจำลองใดที่จะครอบคลุมการจัดการทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ
ทั้งนี้ ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งให้ความใส่ใจและจริงจังกับปัญหาน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยผลักดันนโยบายจัดการน้ำเป็นหนึ่งใน “Quick Win” 4 ข้อสำคัญของรัฐบาล พร้อมหวังว่านโยบายการบริหารจัดการน้ำเชิงระบบจะสำเร็จและเป็นรูปธรรมในเร็ววัน