ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ‘เกาะปูกาด’ การต่อสู้ของคนตัวเล็กท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

17 ก.ย. 2568 - 08:06

  • ฟิลิปปินส์เผชิญแผ่นดินทรุด น้ำทะเลหนุนหนักสุดในภูมิภาค “เกาะปูกาด” กำลังจมหายจากแผนที่โลก โดยไม่มีแผนรับมือระยะยาว

  • ครอบครัวหนึ่งใช้เงินกว่า 2 แสนเปโซเพียงเพื่อให้ “อยู่เหนือน้ำ” ต้องยกบ้านปีละครั้ง รับมือน้ำทะเลสูงขึ้นแบบไม่มีวันย้อนกลับ

  • บทเรียนสำคัญถึงไทย กรุงเทพฯ และเมืองชายฝั่ง กำลังเดินตามเส้นทางเดียวกัน หากไร้มาตรการเชิงรุก

ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ‘เกาะปูกาด’ การต่อสู้ของคนตัวเล็กท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

ท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบฝั่งอ่าวมะนิลา บนเกาะเล็กๆ ชื่อ “ปูกาด” ของประเทศฟิลิปปินส์ มีชาวบ้านกว่า 2,500 ชีวิตกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแผ่นดินที่ค่อยๆ จมหายไปทุกปี

ทุกเช้า มาเรีย ทามาโย แม่ค้าขายอาหารวัย 65 ปี ต้องตื่นก่อนหลานๆ เพื่อเริ่มงานที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เธอตักน้ำทะเลที่ไหลเข้ามาท่วมพื้นบ้านออกด้วยที่โกยขยะพลาสติกอย่างช้าๆ กิจกรรมที่เธอบอกว่าใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมงในแต่ละวัน ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น

“ฉันต้องทำให้เสร็จก่อนที่หลานจะตื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะลื่นล้มในน้ำที่ขังอยู่ในบ้าน... แต่ถึงจะตักยังไง น้ำก็ยังอยู่”

มาเรีย ทามาโย กล่าว

มาเรีย ทามาโย ใช้เวลาทุกเช้าตักน้ำจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมของเธอบนเกาะปูกาด ทางตอนเหนือของมะนิลา / AFP 
มาเรีย ทามาโย ใช้เวลาทุกเช้าตักน้ำจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมของเธอบนเกาะปูกาด ทางตอนเหนือของมะนิลา / AFP 

ปูกาด เป็นหนึ่งในพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดบูลาแคน ซึ่งกำลังเผชิญภาวะ “แผ่นดินทรุด” ด้วยอัตราเร็วเกือบ 11 เซนติเมตรต่อปี ถือว่าเร็วที่สุดในฟิลิปปินส์ จากการศึกษาโดยศาสตราจารย์มาฮาร์ ลักมาย นักธรณีวิทยาชั้นนำของประเทศ ชี้ว่าการทรุดตัวนี้เกิดจากการ “สูบน้ำบาดาล” มากเกินไป และยิ่งเลวร้ายลงเมื่อผนวกเข้ากับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ธรรมชาติเท่านั้น หากอยู่ที่ระบบการจัดการและการวางแผนที่ขาดความต่อเนื่อง แม้จะมีการห้ามสูบน้ำบาดาลบางพื้นที่ตั้งแต่ปี 2004 แต่แผนยุทธศาสตร์ในระดับชาติยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง และต้องรอถึงปี 2028 จึงจะแล้วเสร็จ ขณะที่ชาวบ้านอย่างทามาโย ต้องยกพื้นบ้านทุกปี และลงทุนกว่า 200,000 เปโซ ไปกับการซื้อหินและปูน เพื่อให้ที่อยู่อาศัย “เหนือน้ำ” ที่ไม่มีวันลด

“บางครั้งฉันคิดอยากย้ายออกไป... แต่มันไม่ง่าย เพราะสามีฉันหาเลี้ยงชีพจากเรือ ถ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น เราคงไม่มีงานทำ”

เธอ กล่าว

ความสิ้นหวังที่กระซิบเบาๆ ในคำพูดของทามาโย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในภาวะวิกฤตโลก ประเทศกำลังพัฒนาอย่างฟิลิปปินส์ที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ กลับต้องเผชิญผลกระทบจากโลกร้อนอย่างรุนแรง และต้องพึ่งพากลไกระดับโลกอย่าง “กองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย” ของสหประชาชาติ ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม

เอลีนิดา บาซูก ผู้อำนวยการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฟิลิปปินส์ กล่าวว่า นี่คือเรื่องของความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ ประเทศอย่างเราแทบไม่มีส่วนก่อให้เกิดปัญหา แต่กลับต้องแบกรับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด

ระดับน้ำทะเลทั่วประเทศฟิลิปปินส์กำลังเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า / AFP 
ระดับน้ำทะเลทั่วประเทศฟิลิปปินส์กำลังเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า / AFP 

http://doc.afp.com/72XL6CU

บทเรียนของภูมิภาค: ไทยกำลังเดินเข้าสู่จุดเดียวกัน

ประเทศไทยเองก็ไม่ห่างไกลจากสถานการณ์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่เคยถูกจัดอันดับโดย Climate Central ว่าเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกที่เสี่ยง “จมหาย”หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเพียง 1–2 เมตร

นอกจากนี้ ปัญหาแผ่นดินทรุดจากการสูบน้ำใต้ดินในเขตเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ ยังคงเป็นความท้าทายที่ไม่มีทางแก้แบบชั่วคราวได้สำเร็จ หากปราศจากการวางแผนระยะยาวและการบังคับใช้นโยบายอย่างจริงจัง

คำถามคือ ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน หากต้องเผชิญภาวะน้ำท่วมถาวรในบางพื้นที่? เรามีโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรองรับแค่ไหน? หรือสุดท้าย คนตัวเล็กในพื้นที่เสี่ยงจะต้อง “ตักน้ำ” กันเองในแต่ละวัน เหมือนกับ มาเรีย ทามาโย ที่เฝ้ามองบ้านเกิดจมหายไปทีละเซนติเมตร

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์