ท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบฝั่งอ่าวมะนิลา บนเกาะเล็กๆ ชื่อ “ปูกาด” ของประเทศฟิลิปปินส์ มีชาวบ้านกว่า 2,500 ชีวิตกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแผ่นดินที่ค่อยๆ จมหายไปทุกปี
ทุกเช้า มาเรีย ทามาโย แม่ค้าขายอาหารวัย 65 ปี ต้องตื่นก่อนหลานๆ เพื่อเริ่มงานที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เธอตักน้ำทะเลที่ไหลเข้ามาท่วมพื้นบ้านออกด้วยที่โกยขยะพลาสติกอย่างช้าๆ กิจกรรมที่เธอบอกว่าใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมงในแต่ละวัน ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น
“ฉันต้องทำให้เสร็จก่อนที่หลานจะตื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะลื่นล้มในน้ำที่ขังอยู่ในบ้าน... แต่ถึงจะตักยังไง น้ำก็ยังอยู่”
— มาเรีย ทามาโย กล่าว

ปูกาด เป็นหนึ่งในพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดบูลาแคน ซึ่งกำลังเผชิญภาวะ “แผ่นดินทรุด” ด้วยอัตราเร็วเกือบ 11 เซนติเมตรต่อปี ถือว่าเร็วที่สุดในฟิลิปปินส์ จากการศึกษาโดยศาสตราจารย์มาฮาร์ ลักมาย นักธรณีวิทยาชั้นนำของประเทศ ชี้ว่าการทรุดตัวนี้เกิดจากการ “สูบน้ำบาดาล” มากเกินไป และยิ่งเลวร้ายลงเมื่อผนวกเข้ากับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ธรรมชาติเท่านั้น หากอยู่ที่ระบบการจัดการและการวางแผนที่ขาดความต่อเนื่อง แม้จะมีการห้ามสูบน้ำบาดาลบางพื้นที่ตั้งแต่ปี 2004 แต่แผนยุทธศาสตร์ในระดับชาติยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง และต้องรอถึงปี 2028 จึงจะแล้วเสร็จ ขณะที่ชาวบ้านอย่างทามาโย ต้องยกพื้นบ้านทุกปี และลงทุนกว่า 200,000 เปโซ ไปกับการซื้อหินและปูน เพื่อให้ที่อยู่อาศัย “เหนือน้ำ” ที่ไม่มีวันลด
“บางครั้งฉันคิดอยากย้ายออกไป... แต่มันไม่ง่าย เพราะสามีฉันหาเลี้ยงชีพจากเรือ ถ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น เราคงไม่มีงานทำ”
— เธอ กล่าว
ความสิ้นหวังที่กระซิบเบาๆ ในคำพูดของทามาโย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในภาวะวิกฤตโลก ประเทศกำลังพัฒนาอย่างฟิลิปปินส์ที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ กลับต้องเผชิญผลกระทบจากโลกร้อนอย่างรุนแรง และต้องพึ่งพากลไกระดับโลกอย่าง “กองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย” ของสหประชาชาติ ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
เอลีนิดา บาซูก ผู้อำนวยการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฟิลิปปินส์ กล่าวว่า นี่คือเรื่องของความยุติธรรมด้านภูมิอากาศ ประเทศอย่างเราแทบไม่มีส่วนก่อให้เกิดปัญหา แต่กลับต้องแบกรับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด

บทเรียนของภูมิภาค: ไทยกำลังเดินเข้าสู่จุดเดียวกัน
ประเทศไทยเองก็ไม่ห่างไกลจากสถานการณ์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่เคยถูกจัดอันดับโดย Climate Central ว่าเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกที่เสี่ยง “จมหาย”หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเพียง 1–2 เมตร
นอกจากนี้ ปัญหาแผ่นดินทรุดจากการสูบน้ำใต้ดินในเขตเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ ยังคงเป็นความท้าทายที่ไม่มีทางแก้แบบชั่วคราวได้สำเร็จ หากปราศจากการวางแผนระยะยาวและการบังคับใช้นโยบายอย่างจริงจัง
คำถามคือ ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน หากต้องเผชิญภาวะน้ำท่วมถาวรในบางพื้นที่? เรามีโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรองรับแค่ไหน? หรือสุดท้าย คนตัวเล็กในพื้นที่เสี่ยงจะต้อง “ตักน้ำ” กันเองในแต่ละวัน เหมือนกับ มาเรีย ทามาโย ที่เฝ้ามองบ้านเกิดจมหายไปทีละเซนติเมตร