ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้น ทั้งฝนตกหนักผิดฤดู น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้งที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นต้นน้ำสำคัญของลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ท่ามกลางความท้าทายนี้ การมีระบบข้อมูลที่แม่นยำและการแจ้งเตือนภัยที่ทันท่วงทีกลายเป็นหัวใจสำคัญในการลดผลกระทบและวางแผนรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จึงได้ประกาศความร่วมมือกับหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ เดินหน้าสนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือ ครอบคลุม 11 จังหวัด เพื่อเสริมศักยภาพการบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างยั่งยืน
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จับมือ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. เดินหน้าติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 72 สถานีในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ครอบคลุม 11 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อยกระดับระบบบริหารจัดการน้ำ เสริมประสิทธิภาพการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยพิบัติจากน้ำท่วม-ดินถล่ม พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับชุมชนในพื้นที่เสี่ยง
โครงการนี้ได้รับงบสนับสนุนจากไทยเบฟจำนวน 18.63 ล้านบาท โดยจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 และสะท้อนเจตนารมณ์ขององค์กรในการร่วมขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในระดับประเทศ

ติดตั้งสถานีครอบคลุมพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญ 11 จังหวัด
สถานีโทรมาตรอัตโนมัติที่ติดตั้งใหม่ประกอบด้วยสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน 52 สถานี และสถานีวัดระดับน้ำ 20 สถานี ครอบคลุมพื้นที่ใน 11 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ และกำแพงเพชร ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ
โทรมาตรจะถูกส่งแบบเรียลไทม์ไปยังเว็บไซต์คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ wwwข้อมูลจากสถานี.thaiwater.net และแอปพลิเคชัน ThaiWater เพื่อใช้วิเคราะห์สถานการณ์น้ำ การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า และประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
เสริมศักยภาพชุมชน ขยายผลความรู้รับมือภัยพิบัติ
นอกจากการติดตั้งระบบเฝ้าระวัง ไทยเบฟยังร่วมมือกับ สสน. จัดการอบรมเสริมสร้างศักยภาพให้แก่บุคลากรในองค์กร หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม เพื่อส่งเสริมความรู้ในการติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำ รวมถึงแนวทางการรับมือภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
การอบรมจัดขึ้นโดยมี คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการ สสน. ร่วมเป็นประธานเปิดกิจกรรม

นักวิชาการพื้นที่ชี้ระบบโทรมาตรช่วยเตือนภัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น
คุณมานพ แก้วฟู หัวหน้าสถานีวิจัยต้นน้ำดอยเชียงดาว ระบุว่า ระบบโทรมาตรยังเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการวิจัยระบบนิเวศในระยะยาว เพราะช่วยให้การติดตามสภาพอากาศเป็นระบบและมีความแม่นยำมากขึ้น
ขณะที่ คุณนรินธร สวัสดิ์รักษ์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจะค่าน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานในพื้นที่ยังอาศัยการเก็บข้อมูลแบบแมนนวล ซึ่งมักล่าช้าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การมีสถานีโทรมาตรอัตโนมัติจะช่วยให้ได้รับข้อมูลเรียลไทม์ สามารถแจ้งเตือนชุมชนได้อย่างทันท่วงที ลดความสูญเสียจากภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้น
ข้อมูลน้ำเพื่อความยั่งยืน ก้าวต่อไปของระบบเตือนภัยประเทศไทย
คุณต้องใจ ธนะชานันท์ ย้ำว่า ข้อมูลจากสถานีโทรมาตรจะมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มฐานข้อมูลน้ำของประเทศให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ช่วยเสริมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปขยายผลยังพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ ทั่วประเทศได้ในอนาคต

“การติดตั้งสถานีโทรมาตรฯ จะช่วยเติมเต็มข้อมูลให้ครบถ้วนครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เสริมศักยภาพระบบการเตือนภัยให้สามารถเฝ้าระวัง และเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพทันท่วงที และสามารถขยายผลไปยังพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ ข้อมูลที่ได้จากโทรมาตรยังเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ และวิจัยระบบนิเวศทางธรรมชาติในระยะยาว เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้”
— คุณต้องใจ ธนะชานันท์ กล่าว

ก้าวสำคัญในการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ
การติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติในพื้นที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมวางรากฐานด้านข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการน้ำที่แม่นยำ ทันต่อสถานการณ์ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
โดยเฉพาะในบริบทที่ภัยพิบัติจากน้ำมีแนวโน้มเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ความร่วมมือเชิงระบบเช่นนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบต่อโจทย์ใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในระยะยาว