โลกเราวันนี้ “สงคราม” เกิดได้ทุกเมื่อ...แต่ “ความยั่งยืน” ยังต้องใช้เวลา
กิจกรรมทางทหารใช้พลังงานฟอสซิลในปริมาณสูง แต่ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซจากภาคทหารของแต่ละประเทศกลับมีน้อย หรือไม่มีเลย
ในขณะที่โลกกำลังเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ SDG 13 (Climate Action) การเพิ่มงบอุดหนุนทางการทหารของประเทศสมาชิกนาโต (NATO) กลับเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนถูกแช่แข็งหรือเลื่อนออกไป เพราะกำลังจะก่อให้เกิดมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
นาโตประกาศแผนเพิ่มงบกลาโหม หลังรัสเซียบุกยูเครน-ทรัมป์ขู่ถอนสนับสนุนพันธมิตร
องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองและการทหารระหว่าง 32 ประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ ประกาศแผนเพิ่มงบประมาณทางการทหาร หลังจากเกิดความตึงเครียดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และถ้อยแถลงจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขู่อาจถอนการสนับสนุนจากพันธมิตรดั้งเดิม
ตามแผนใหม่ นาโตตั้งเป้าให้ประเทศสมาชิกใช้งบประมาณทางทหารไม่ต่ำกว่า 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และอาจเพิ่มเป็น 5% ของ GDP สำหรับงบที่ใช้ในด้านความมั่นคงโดยรวม
รายงานใหม่จากองค์กร Scientists for Global Responsibility ชี้ว่าการเพิ่มงบประมาณทางทหารตามแผนอาจสร้างมลพิษเทียบเท่าการปล่อยก๊าซของประเทศบราซิลตลอดทั้งปี ซึ่งปัจจุบันบราซิลคือ 1 ใน 5 ประเทศที่มีสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดของโลก
เพิ่มงบประมาณทหาร = เพิ่มอัตราเร่งโลกร้อน
รายงานระบุว่า ถ้านาโตบรรลุเป้าหมายใช้จ่ายทางทหารเป็น 3.5% ของ GDP จะมีการปล่อยก๊าซ CO₂ เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 132 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการปล่อยก๊าซจากโรงไฟฟ้าก๊าซประมาณ 345 โรง
นอกจากนี้ รายงานยังเผยว่าในช่วงปี 2019–2024 นาโตได้เพิ่มงบประมาณทางทหารไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ประมาณ 7.4 ล้านล้านบาท ส่งผลให้รอยเท้าคาร์บอนทางทหารเพิ่มขึ้นประมาณ 64 ล้านตัน CO₂e

ที่มาของการปล่อยก๊าซ
การปล่อยมลพิษมาจากหลายแหล่ง ทั้งโดยตรง เช่น เครื่องบินรบ เรือรบ ยานเกราะ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาก และทางอ้อม เช่น การขนส่งยุทโธปกรณ์ ซัพพลายเชนระดับโลก และการปฏิบัติการสงครามทั้งหมด ถึงแม้ตัวเลขเหล่านี้จะมหาศาล แต่ข้อมูลทางการที่เปิดเผยต่อสาธารณะยังไม่เพียงพอหรือไม่ครบถ้วน ทำให้ยากต่อการประเมินแนวโน้มอย่างแม่นยำ
ความท้าทายกับการบรรลุเป้าหมายสภาพภูมิอากาศ
รายงานเตือนว่าหากแนวโน้มนี้ไม่ถูกควบคุม การตั้งเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5°C ภายใต้ข้อตกลงปารีส อาจหลุดลอยไป โดยภาคทหารจะกลายเป็นหนึ่งในตัวเร่งที่สำคัญของการเพิ่มก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแนวโน้มดังกล่าวเสี่ยงทำให้ประเทศเหล่านี้ตามหลังผู้นำอื่นๆ เช่น จีน ในเรื่องการตั้งเป้าหมายใหม่ และอาจทำให้เป้าหมาย Net Zero หรือนโยบาย Climate Neutrality ที่องค์การสหประชาชาติวางกรอบไว้ต้องถูกทบทวนใหม่หรือเลื่อนออกไป
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอต่อรัฐบาลประเทศที่มีงบทหารสูงให้มีข้อบังคับในการรายงานการปล่อยก๊าซทางทหารไปยัง UN พร้อมทั้งมาตรการลดการปล่อยทั้งทางเทคนิคและไม่ใช้แกนเทคโนโลยี เช่น การเจรจาสันติภาพ การควบคุมอาวุธ การลดการใช้อาวุธรุนแรง
การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าภาคทหารกลายเป็น “จิ๊กซอว์ที่ขาดไป” ในการพูดคุยเรื่องโลกร้อน ทั้งที่เรื่องของ “สันติภาพ” คือหนึ่งในมิติการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะสงครามและความไม่สงบเป็นภาคส่วนที่ใช้พลังงานฟอสซิลมากแต่กลับถูกละเลยในกรอบการรายงาน Emissions ระหว่างประเทศ และความไม่โปร่งใสนี้ก็เอื้อให้ประเทศต่างๆ หลบเลี่ยงบทบาทที่ต้องรับผิดชอบ
ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มงบประมาณทางทหารอาจทำให้ทรัพยากรที่ควรนำไปใช้ในนวัตกรรมพลังงานสะอาดและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศถูกเบียดบัง งบสนับสนุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้าน Climate Action อาจขาดแคลน
มุมมองผ่านเลนส์ SDGs
เมื่อความมั่นคงขัดแย้งกับความยั่งยืน
รายงานที่ตีแผ่ผลกระทบของการใช้จ่ายทางทหารต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้ให้เห็นถึง “จุดตัด” ระหว่างความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงของโลกในเชิงสิ่งแวดล้อม หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สามารถใช้ประเมินผลกระทบข้ามมิตินี้ได้ คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนเจตจำนงของนานาประเทศในการสร้างโลกที่สมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
SDG 13: Climate Action
ภาวะโลกร้อนไม่หยุดรอใคร การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคทหาร ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นถึง 1,320 ล้านตันในทศวรรษหน้า หากแผนขยายงบประมาณของนาโตดำเนินต่อไปตามเป้า 3.5% ของ GDP จะยิ่งผลักโลกให้ห่างไกลจากเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีส รายงานระบุว่าแค่การเพิ่มงบทหาร 100,000 ล้านดอลลาร์ อาจเท่ากับปล่อย CO₂e ราว 32 ล้านตัน เทียบได้กับการใช้ชีวิตของประเทศขนาดกลางทั้งประเทศหนึ่ง การปล่อยเหล่านี้แทบไม่ถูกตรวจสอบหรือนับรวมในเป้าหมายโลกร้อนอย่างเป็นระบบ
SDG 7: Affordable and Clean Energy
งบประมาณมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่ภาคทหารในเวลานี้ ย่อมเบียดบังทรัพยากรที่ควรใช้ในการวิจัย พัฒนา และติดตั้งระบบพลังงานสะอาดทั่วโลก ความพยายามที่จะเร่งเปลี่ยนผ่านจากฟอสซิลไปสู่พลังงานทางเลือก อาจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หากรัฐบาลยังเลือก “ความมั่นคงทางอาวุธ” แทน “ความมั่นคงทางพลังงานสะอาด” ในช่วงเวลาเดียวกัน
SDG 16: Peace, Justice and Strong Institutions
รายงานยังสะท้อนความ ไม่โปร่งใสของข้อมูลการปล่อยก๊าซจากภาคทหารทั่วโลก ที่ขาดข้อบังคับให้เปิดเผยตัวเลขอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน ขัดต่อหลักการของธรรมาภิบาล (Good Governance) และ “ความยุติธรรมเชิงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Justice) อย่างชัดเจน อีกทั้งยิ่งเกิดสงคราม ความขัดแย้ง และการใช้อาวุธมากเท่าไร ค่าใช้จ่ายในการ “ฟื้นฟูหลังความเสียหาย” และมลพิษในระยะยาวยิ่งทวีคูณ
ในยุคที่ “ภัยจากโลกร้อน” กลายเป็นภัยความมั่นคงในตัวมันเอง การวางแผนด้านความมั่นคงของโลกควรขับเคลื่อนด้วยมุมมองของความยั่งยืนควบคู่กัน การใช้จ่ายทางทหารจึงไม่ควรถูกแยกออกจากสมการของปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป หากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศยังเพิกเฉย การบรรลุ SDGs ภายในปี 2030 อาจกลายเป็นเพียงแค่แผนการที่ดีบนกระดาษ แต่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้บนโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน และสงครามอาจปะทุได้ทุกเมื่อ