ใครจะไปคิดว่า ซากสงครามโลกยุคเก่าจะกลายเป็นบ้านสัตว์ทะเลยุคใหม่ ล่าสุดทีมนักชีววิทยาทางทะเลจากมหาวิทยาลัย Carl von Ossietzky ของเยอรมนี ดำดิ่งสู่พื้นที่ทิ้งระเบิดที่ไม่เคยถูกสำรวจมาก่อนในอ่าวลือเบค (Lübeck Bay) ใต้ทะเลบอลติก พร้อมเผยบันทึกภาพที่น่าตกตะลึง เมื่อพบสิ่งมีชีวิตทะเลนับหมื่นตัวอาศัยอยู่บนซากระเบิดสมัยนาซีที่ยังไม่ระเบิด
ระเบิดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคลังอาวุธจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังตกค้างอยู่ในน่านน้ำของเยอรมนี โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่าระเบิดมีน้ำหนักรวมประมาณ 1.6 ล้านตัน นับเป็นการค้นพบข้อมูลใหม่ทางชีววิทยาทางทะเล พร้อมกับการตั้งคำถามถึงวิธีที่มนุษย์จัดการกับผลพวงของสงคราม และความสัมพันธ์ระหว่างซากอาวุธกับระบบนิเวศทางทะเลในระยะยาว
สัตว์ทะเลนับหมื่นต่อตารางเมตรบนผิวระเบิด
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth & Environment เปิดเผยว่า ทีมวิจัยพบสิ่งมีชีวิตทะเลหนาแน่นถึง 40,000 ตัวต่อตารางเมตรบนเปลือกของระเบิด โดยส่วนใหญ่เป็นหนอนทะเล ไฮดรอยด์ ปู ปลา และปลาดาว
เมื่อนำตัวเลขนี้ไปเปรียบเทียบกับพื้นทะเลโดยรอบที่มีสิ่งมีชีวิตเฉลี่ยเพียง 8,200 ตัวต่อตารางเมตร ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของ “พื้นผิวแข็ง” ในการดำรงอยู่ของระบบนิเวศใต้ทะเล โดยเฉพาะในทะเลบอลติกที่มีพื้นทะเลเป็นโคลนและตะกอนมากกว่าหินธรรมชาติ

ก้อน TNT กลายเป็นแหล่งอาหาร
หนึ่งในภาพที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุด คือการพบปลาดาวกว่า 40 ตัวรวมตัวกันบนก้อน TNT ที่เปิดออกมา ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีพิษสูง นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจมีฟิล์มแบคทีเรียสะสมบนพื้นผิว TNT ซึ่งกลายเป็นแหล่งอาหารให้กับปลาดาวเหล่านี้
ถึงแม้สัตว์ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีสารเคมีโดยตรง แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสามารถของสิ่งมีชีวิตบางชนิดในการปรับตัวให้อยู่ร่วมกับวัตถุอันตรายที่มนุษย์ทิ้งไว้ได้อย่างคาดไม่ถึง
ความยั่งยืนของทะเลกับบทเรียนจากซากอาวุธ
การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่น่าสนใจในธรรมชาติ และกำลงชี้ว่าสิ่งที่มนุษย์ออกแบบมาเพื่อทำลาย กลับกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอย่างไม่คาดฝัน ขณะเดียวกัน ทีมวิจัยกลับความอยู่รอดของสัตว์เหล่านี้บนระเบิด ที่แม้จะรวมตัวหนาแน่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นพื้นที่ “ปลอดภัย” เพราะสารเคมีอย่าง TNT และ RDX ยังคงมีพิษ และอาจเข้าสู่ “ห่วงโซ่อาหาร” ในระยะยาว
จากการเก็บตัวอย่างน้ำ ทีมวิจัยตรวจพบสาร TNT ในระดับตั้งแต่ 30 นาโนกรัมต่อลิตร ไปจนถึงสูงสุดที่ 2.7 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่ามีผลต่อระบบชีวภาพบางชนิด การจัดการซากอาวุธเหล่านี้จึงไม่ควรจำกัดเพียงการเก็บกู้เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่ควรพิจารณาผลกระทบต่อระบบนิเวศควบคู่ไปด้วย
เปลี่ยนระเบิดเป็นโครงสร้างที่ยั่งยืน
การเก็บกู้ระเบิดในอนาคตอาจกระทบต่อสัตว์ทะเลที่พึ่งพาพื้นผิวแข็งเหล่านี้ ทีมวิจัยยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายว่าหากต้องเคลียร์ระเบิดออกจากพื้นที่ ควรมีการวางโครงสร้างทดแทน เช่น หินธรรมชาติหรือวัสดุคอนกรีต เพื่อให้สัตว์ทะเลยังมีแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลัก “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งมุ่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน รวมถึงการวางแผนเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในอนาคต

สันติภาพกับธรรมชาติ และมรดกของสงครามที่ส่งผลกับความยั่งยืน
ทะเลบอลติกเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดของยุโรปตะวันออก มีการไหลเวียนของน้ำต่ำ และมีปริมาณมลพิษสะสมสูง การปล่อยให้อาวุธยุคสงครามเก่าตกค้างอยู่ในโลกยุคใหม่โดยไม่มีแผนจัดการ อาจนำไปสู่การปนเปื้อนที่รุนแรงในอนาคต
แม้มุมหนึ่งซากระเบิดเหล่านี้อาจดูคล้าย “แนวปะการังเทียม” ที่ช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ แต่อีกมุมหนึ่ง มันคือเครื่องเตือนใจถึงผลกระทบจากสงครามที่ยังตามหลอกหลอนธรรมชาติไปอีกหลายทศวรรษ ในวันที่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) กลายเป็นกรอบสำคัญของการดำเนินนโยบายระดับโลก ประเด็นนี้จึงควรถูกพิจารณาอย่างจริงจังในเป้าหมายที่ 14 Life Below Water และเป้าหมายที่ 16 Peace, Justice and Strong Institutions
เพราะในท้ายที่สุด ทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะเคลียร์ซากระเบิดนาซีอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราจะสร้างชีวิตใหม่ที่ปลอดภัย ไม่กระทบห่วงโซ่อาหารและความหลากหลายทางชีวภาพ บนพื้นฐานของความยั่งยืนได้อย่างไร? ต่างหาก