ประเทศไทยกำลังเผชิญอีกหนึ่งบททดสอบด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อพายุ “คาจิกิ” (KAJIKI) พัฒนาจากหย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทวีกำลังเป็น “พายุไต้ฝุ่น” อย่างรวดเร็วในช่วงเช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้หลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เตรียมรับมือฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มจากฝนสะสม โดยเฉพาะจังหวัดน่าน ที่ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุด ขณะที่นักวิชาการด้านภัยพิบัติย้ำ ต้องจัดการสภาพภูมิอากาศสุดโต่งด้วยแนวคิด “การปรับตัวอย่างยั่งยืน” ไม่ใช่แค่รับมือเฉพาะหน้า

พายุ “คาจิกิ” เส้นทางรุนแรงจากดีเปรสชันสู่ไต้ฝุ่น
กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า พายุ “คาจิกิ” เริ่มก่อตัวเป็นพายุดีเปรสชัน เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม ก่อนจะพัฒนาเป็นพายุโซนร้อน และทวีความรุนแรงต่อเนื่องเป็น “ไต้ฝุ่น” ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยในช่วงสายวันที่ 24 สิงหาคม พายุมีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 570 กิโลเมตร ด้วยความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พายุดังกล่าวกำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย มุ่งหน้าสู่ตอนบนของประเทศเวียดนามและ สปป.ลาว และคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย รวมถึงพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ โดยเฉพาะช่วงวันที่ 24–27 สิงหาคมนี้

นักวิชาการเผย “คาจิกิ” แรงน้อยกว่า “วิภา” เตือน จ.น่าน ติดตามใกล้ชิด
ทางด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อมูลว่า แม้พายุ “คาจิกิ” จะมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุ “วิภา” ที่พัดถล่มภาคเหนือเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลกระทบยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปริมาณฝนสะสมในช่วง 25–27 สิงหาคม ที่อาจสูงเกิน 300 มิลลิเมตรในหลายจังหวัดของภาคอีสานและภาคเหนือ
พร้อมเตือนพื้นที่ลุ่มต่ำและใกล้ทางน้ำใน จ.น่าน เช่น อ.เชียงกลาง ปัว ท่าวังผา เมือง และเวียงสา กำลังเผชิญความเสี่ยงน้ำไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งผ่านพายุ “วิภา” มาเมื่อเดือนก่อน และยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ โดยเตือนให้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ก่อนเช้าวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าอาจเกิดน้ำล้นตลิ่งและน้ำท่วมขัง

อุตุนิยมวิทยาเตือน 24-27 ส.ค. ฝนหนักทั่วไทย
จากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น และร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบน ทำให้ในช่วงวันที่ 24–27 สิงหาคม ประเทศไทยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก และกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล
— นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุ
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนฉบับที่ 7 โดยระบุรายชื่อจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก พร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงระวังอันตรายจากน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และคลื่นลมแรงในทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทย
รายชื่อจังหวัดที่คาดว่าจะมี ฝนตกหนักถึงหนักมาก
กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดรายชื่อจังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” ช่วงวันที่ 24–27 สิงหาคม 2568 ประกอบด้วย
วันที่ 24 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: ลำปาง, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, กำแพงเพชร, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: หนองคาย, บึงกาฬ, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม, ชัยภูมิ, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร
- ภาคกลาง: ลพบุรี, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ราชบุรี
- ภาคตะวันออก: นครนายก, ปราจีนบุรี, จันทบุรี, ตราด
- ภาคใต้: เพชรบุรี, ระนอง, พังงา, ภูเก็ต
วันที่ 25 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร, นครราชสีมา, อุบลราชธานี
- ภาคกลาง: กาญจนบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, นครปฐม, กรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ภาคตะวันออก: นครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, จันทบุรี, ตราด
- ภาคใต้: เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่
วันที่ 26–27 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, น่าน, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, กำแพงเพชร, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, ยโสธร, อำนาจเจริญ, อุบลราชธานี
- ภาคกลาง: นครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, กาญจนบุรี, ราชบุรี, กรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ภาคตะวันออก: นครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด
- ภาคใต้: เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, พังงา, ภูเก็ต
สิ่งแวดล้อมแปรปรวนบ่อยขึ้น สัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม
กรณีของพายุ “คาจิกิ” เป็นอีกหนึ่งหลักฐานชัดเจนของผลกระทบจาก “สภาพภูมิอากาศสุดโต่ง” ซึ่งกำลังเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงมากขึ้น จากปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
รศ.ดร.เสรี ระบุว่า เหตุการณ์พายุลูกแล้วลูกเล่า รวมถึงฝนในระดับที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งในรอบ 1,000 ปีที่น่านจากพายุ “วิภา” บ่งชี้ว่าไทยไม่สามารถมองภัยธรรมชาติเป็นแค่ “เหตุการณ์เฉพาะหน้า” ได้อีกต่อไป การบริหารจัดการน้ำ การฟื้นฟูป่า การสร้างพื้นที่รองรับน้ำ และการจัดระบบเตือนภัย ต้องทำอย่างยั่งยืน บนฐานข้อมูลและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่แม่นยำ

ทางรอดยุค Extreme Weather
แม้พายุ “คาจิกิ” จะไม่แรงเท่ากับ “วิภา” แต่การทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบซ้ำซ้อนในพื้นที่เสี่ยงเดิม สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศและเมืองไทยต่อภัยธรรมชาติ เราจึงต้องไม่เพียงเฝ้าระวังในระยะสั้น แต่ต้องเร่งปรับตัวและออกแบบอนาคตบนฐานของ “ความยั่งยืน”
การจัดการปัญหาภัยพิบัติจากพายุฝนและน้ำท่วมในระยะยาว ต้องอาศัยการบูรณาการจากทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ทั้งในเชิงโครงสร้าง เช่น ระบบระบายน้ำ เขื่อน ฝาย พื้นที่กักเก็บน้ำ และเชิงไม่ใช่โครงสร้าง เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า การให้ความรู้กับประชาชน และการฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศอย่างต่อเนื่อง และการมีแผนรับมือเฉพาะพื้นที่ จะช่วยลดความเสียหายและปกป้องชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถติดตามสถานการณ์พายุและสภาพอากาศเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th โทรศัพท์ 02-399-4012-13 หรือสายด่วน 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง