เมื่อฝุ่น PM2.5 เริ่มกลับมาปกคลุมกรุงเทพฯ ในช่วงต้นฤดูหนาวเหมือนเช่นทุกปี ความกังวลของประชาชนเรื่องคุณภาพอากาศก็กลับมาพร้อมกัน ขณะที่ “ความหวัง” ทางกฎหมายในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผ่านร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … หรือที่เรียกกันว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา และอาจไม่ทันประกาศใช้ภายในปี 2569
ฝุ่นมาอีกครั้ง แต่กฎหมายยังไม่มา
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เวลา 07.00 น. พบค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 32.4 มคก./ลบ.ม. (ค่ามาตรฐาน 37.5 มคก./ลบ.ม.) ช่วงเวลา 07.00 น. เกินมาตรฐานใน “ระดับสีส้ม” เริ่มมีผลต่อสุขภาพ 10 พื้นที่ อาทิ

- เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม 46.9 มคก./ลบ.ม.
- เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล 46.5 มคก./ลบ.ม.
- เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ 44.8 มคก./ลบ.ม.
- เขตบางรัก ข้างป้อมตำรวจหน้าลานบางรักเลิฟลี่ พลาซ่า 43.8 มคก./ลบ.ม.
- เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ 42.2 มคก./ลบ.ม.
สถานการณ์นี้ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ “ฤดูฝุ่น” ที่เกิดซ้ำทุกปี โดยเฉพาะช่วงปลายปีถึงต้นปีที่สภาพอากาศนิ่ง ลมสงบ และเกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน ทำให้มลพิษสะสมใกล้พื้นดิน เป็นวิกฤตที่คนไทยต้องเผชิญยาวนานหลายเดือนโดยยังไม่มีมาตรการถาวรแก้ไขที่ต้นเหตุ
ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งประชาชนจำนวนมากฝากความหวังไว้ กลับชะลอตัวในกระบวนการทางกฎหมาย
จากสภาผู้แทนถึงวุฒิสภา เส้นทางที่(อาจ)ต้องเริ่มใหม่
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และวุฒิสภารับหลักการในวาระแรกแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายมาตรา ซึ่งมีมากกว่า 300 มาตรา โดยมีกำหนดเวลา 30 วัน และสามารถขยายได้อีก 30 วัน (รวมไม่เกิน 60 วัน)
ปัญหาคือในการประชุมนัดแรกของวุฒิสภากลับมีการเสนอให้ “ขยายเวลา” ทั้งที่ยังไม่เริ่มพิจารณาอย่างเป็นทางการ พร้อมกำหนดให้ประชุมเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งอาจไม่ทันกำหนด หากกฎหมายไม่แล้วเสร็จก่อนวันยุบสภา ที่รัฐบาลเคยระบุว่าไม่เกินวันที่ 29 มกราคม 2569 กระบวนการทั้งหมดจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
คณะกรรมาธิการฯ ที่ผลักดันกฎหมายนี้ออกมาเตือนว่า “ความล่าช้า” อาจหมายถึงการที่คนไทยต้องสูดฝุ่นพิษต่อไปอีกหลายปี และเรียกร้องให้วุฒิสภาฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวาง

กลุ่มทุนไม่คัดค้าน แต่ขอ “เวลาปรับตัว”
แรงต้านสำคัญต่อร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด มาจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ที่ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน แสดงจุดยืนว่า “เห็นด้วยในหลักการสิ่งแวดล้อม” แต่มีข้อกังวลเรื่องความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม และภาระต้นทุนของภาคธุรกิจ
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม และ พ.ร.บ.โรงงาน โดยเสนอให้ปรับให้ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน เพื่อไม่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ
กกร. ยังเสนอ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
- เพิ่มผู้แทนภาคเอกชนในคณะกรรมการอากาศสะอาดระดับชาติและจังหวัด
- ใช้มาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น ลดภาษีหรือสนับสนุนสินเชื่อ แทนการเก็บค่าธรรมเนียมปล่อยอากาศ
- ทบทวนโครงสร้าง “กองทุนอากาศสะอาด” ให้โปร่งใสและเป็นไปได้จริง
- ปรับอัตราโทษให้สมดุล โดยเฉพาะโทษจำคุกหรือปรับสูงถึงหลักร้อยล้านบาท ซึ่งภาคธุรกิจมองว่าอาจกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
ทั้งนี้ กกร. ย้ำว่า ภาคเอกชน “ไม่คัดค้าน” แต่ต้องการให้กฎหมายไม่ซ้ำซ้อน ไม่เพิ่มภาระ และรักษาสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจ
ฝั่งประชาชนย้ำ “อากาศสะอาดคือสิทธิ”
ในอีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และอาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยืนยันว่าภาคเอกชนมีส่วนร่วมในกระบวนการร่างกฎหมายแล้ว และส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าควรมีกองทุนอากาศสะอาด
รศ.ดร.วิษณุ ชี้ว่า หากตัดกองทุนอากาศสะอาดออก กฎหมายจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง เพราะจะขัดต่อหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) ซึ่งเป็นหลักสากลที่ใช้ในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ แคนาดา และญี่ปุ่น พร้อมระบุว่ากฎหมายนี้ไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสุขภาพ (Wellness)
การเมืองคือปัจจัยชี้ชะตา
แม้ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชนต่างเห็นพ้องในหลักการ “อากาศสะอาด” แต่ต่างกันที่วิธีการและจังหวะเวลา การเมืองจึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะหากวุฒิสภาไม่สามารถพิจารณาให้จบก่อนกำหนด “ยุบสภา” กฎหมายนี้จะตกไป และต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมด
กรรมาธิการฯ คำนวณว่าหากต้องการให้ทันก่อนการยุบสภาในวันที่ 29 มกราคม 2569 วุฒิสภาจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายในกลางเดือนธันวาคมปีนี้ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณการเร่งรัดพิจารณาอย่างจริงจัง

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการฯ และอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความเรียกร้องผ่านเฟซบุ๊กให้เร่งพิจารณา โดยระบุว่า
“พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่กำลังอยู่ในชั้น สว. แต่ก็เห็นแววว่าจะโดนกลุ่มทุนสกัด อ้างเรื่องเป็นภาระภาคเอกชน ต่างชาติไม่มาลงทุน แต่เห็นหรือไม่ครับว่า ต้นทุนสุขภาพ ต้นทุนชีวิตของคนไทยมากกว่าเท่าไร เราคงไม่มีใครอยากต้องมาใส่ mask กันตลอด หรือต้องเจอมะเร็งปอดในอนาคต
ตอนนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่ท่านวุฒิสภา ที่จะเร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ให้บังคับใช้ได้เร็วที่สุด อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ปลายปีหน้าเราต้องเจอภาพอย่างนี้อีก และที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพพี่น้องคนไทยครับ”

กฎหมาย = ความหวังที่ยังล่องลอยในอากาศ
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่มุ่งจัดการคุณภาพอากาศโดยเฉพาะ ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานระดับชาติ การบังคับใช้มาตรการควบคุมผู้ก่อมลพิษ การตั้งองค์กรใหม่เพื่อบริหารจัดการอากาศ และการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงอากาศที่ปลอดภัย
แต่เมื่อฤดูฝุ่นเวียนกลับมาอีกครั้ง คำถามที่สังคมต้องเผชิญยังเหมือนเดิมว่า...“ฝุ่นมาแล้ว แต่กฎหมายยังไม่มา แล้วสุขภาพของคนไทย ใครจะรับผิดชอบ?”



