AI ภัยเงียบทางปัญญา? งานวิจัยเตือนใช้ ChatGPT มากไปเสี่ยงสมองฝ่อ-คิดวิเคราะห์ด้อย

20 ส.ค. 2568 - 00:59

  • การทดลองพบว่า 83% ของผู้ใช้ AI Chatbot จำสิ่งที่เพิ่งเขียนไม่ได้แม้เพิ่งทำเสร็จ เพราะสมองไม่ได้ประมวลผลลึก เสี่ยงภาวะสมองฝ่อ

  • นักวิจัยเตือน “AI ไม่ใช่ทางลัดความรู้” แต่คือดาบสองคมที่อาจทำให้เราสูญเสียทักษะการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้ในระยะยาว หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง

AI ภัยเงียบทางปัญญา? งานวิจัยเตือนใช้ ChatGPT มากไปเสี่ยงสมองฝ่อ-คิดวิเคราะห์ด้อย

ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็เช่นกัน เพราะเป็นทั้งพลังสร้างสรรค์และพลังมืด ในยุคที่ ChatGPT และ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการเรียน การทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน คำถามที่น่าที่สนใจมากกว่า “เราใช้มันทำอะไรได้บ้าง?”ก็คือ “เรากำลังสูญเสียอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัวหรือไม่?”

“สมองฝ่อ” เพราะพึ่งพา AI สัญญาณเตือนถึงสิ่งแวดล้อมทางปัญญาที่กำลังเสื่อมถอย

ผลการศึกษาโดย ดร.นาตาลียา คอสมีนา นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก MIT Media Lab ในหัวข้อYour Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task.สะท้อนข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่า ผู้ที่ใช้ AI ช่วยในการเขียนหรือคิดแทนอย่างสม่ำเสมอ มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะที่เรียกว่า “สมองฝ่อเชิงพฤติกรรม” หรือ Cognitive Atrophy ซึ่งเป็นสภาวะที่ระบบประมวลผลทางสมองทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้ทักษะการคิดของคนทำงานแย่ลงและลุกลามเป็นภาวะสมองฝ่อในที่ทำงาน

ปัญหาที่ลึกกว่าสมอง คือสิ่งแวดล้อมที่ขาดแรงกระตุ้นทางปัญญา

คำว่า “สิ่งแวดล้อม” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงต้นไม้ น้ำ หรืออากาศ แต่สื่อถึงสิ่งแวดล้อมทางความคิดที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน การเลือกพึ่งพา AI มากเกินไปเท่ากับการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของตนให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ลดแรงกระตุ้น ไม่มีการตั้งคำถาม และไม่มีการเชื่อมโยงประสบการณ์จริง (เหมือนกับระบบนิเวศธรรมชาติที่เสื่อมโทรม เพราะสารเคมีหรือขาดความหลากหลายทางชีวภาพ) สมองของมนุษย์เองก็ต้องพึ่งพาความหลากหลายทางความคิด (Cognitive Diversity) เพื่อการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน

sustainability-cognitive-atrophy-brain-on-chatgpt-SPACEBAR-Photo01.jpg

AI ทำให้คนติดหนี้ทางความคิด

ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นักวิจัยได้ติดตามผู้เข้าร่วมการทดลอง 54 คน (อายุ 18-39 ปี) ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้ ChatGPT, ใช้ Google Search และเขียนเองโดยไม่พึ่งเครื่องมือ

ผลปรากฏว่า

  • ผู้ที่ใช้ ChatGPT ไม่สามารถจำเนื้อหาที่ตนเขียนได้ แม้เพิ่งเขียนเสร็จ
  • การเชื่อมโยงของเส้นใยสมองลดลง จาก 79 จุด เหลือเพียง 42 จุด
  • เมื่อเขียนเรียงความโดยไม่ใช้ AI อีกครั้ง กลุ่มนี้ทำผลงานได้แย่กว่ากลุ่มที่ไม่เคยใช้ AI มาก่อน

ทีมวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า Cognitive Debt หรือการติดหนี้ทางความคิด ซึ่งเปรียบได้กับการยืมสมองของ AI มาใช้ทันที แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นความสามารถทางสมองของตัวเองที่ลดลงในระยะยาว

AI ไม่ผิด!! แต่ระบบนิเวศทางการเรียนรู้ที่บิดเบี้ยวคือปัญหา

การใช้ AI อย่างเหมาะสมมีข้อดี เช่น สำหรับผู้ที่มีระบบการคิดที่แข็งแรงอยู่แล้ว การใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช่ที่พึ่ง เพราะความยั่งยืนที่แท้จริงไม่ใช่การที่ AI จะมา “แทนที่มนุษย์” แต่คือการ “ร่วมมือกับเครื่องมือ” อย่างสมดุล

สิ่งนี้ชวนให้ตั้งคำถามถึงโครงสร้างระบบการศึกษาปัจจุบัน ที่อาจเริ่มสร้างนิสัยพึ่งพาเครื่องมือก่อนพัฒนาทักษะตนเอง เช่นเดียวกับการสร้างโรงเรียนอัจฉริยะโดยไม่สร้างแรงบันดาลใจ หรือการให้เด็กใช้ ChatGPT เขียนรายงานโดยไม่ได้เข้าใจเนื้อหาจริงๆ

sustainability-cognitive-atrophy-brain-on-chatgpt-SPACEBAR-Photo02.jpg

ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ไม่ทำลาย “ความยั่งยืนของสมอง”

การใช้เทคโนโลยี เช่น AI หรือแชตบอตอัจฉริยะอย่าง ChatGPT ให้เกิดประโยชน์โดยไม่กระทบต่อพัฒนาการทางสมอง ต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า “AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป” ผู้ใช้ควรฝึกคิด วิเคราะห์ และสร้างความเข้าใจด้วยตนเองก่อน แล้วค่อยใช้ AI เป็นผู้ช่วยเสริมในจุดที่ต้องการ เช่น การเปรียบเทียบแนวคิด หาข้อมูลประกอบ หรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้เชิงลึกแทนที่จะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการคิด

สมองมนุษย์เปรียบได้กับระบบนิเวศทางปัญญาที่ต้องการ “การใช้งาน” อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาศักยภาพ เมื่อใดที่เราเลิกใช้กลไกคิดเอง สมองจะเริ่ม “เสื่อม” คล้ายกล้ามเนื้อที่ขาดการออกกำลังกาย การใช้ AI อย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่การเลิกใช้ แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างการคิดด้วยตนเองกับการใช้เทคโนโลยีช่วยขยายขอบเขตของความรู้ โดยไม่ละทิ้งรากฐานของความคิดมนุษย์เอง

แนะพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาแบบก้าวกระโดด เราควรยิ่งตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมเชิงปัญญา (Cognitive Environment) ที่มนุษย์จะเติบโตอยู่ร่วมกับ AI อย่างมีคุณภาพ ในภาคนโยบายควรมีบทบาทในการกำกับทิศทาง เช่น ออกแบบหลักสูตรที่ฝึกให้ “คิดก่อนใช้” ฝึกการใช้ AI เป็นส่วนเสริม ไม่ใช่ศูนย์กลาง พร้อมปลูกฝังแนวคิดว่า “สมองคือกล้ามเนื้อที่ต้องใช้งานเสมอ”

ในมุมของความยั่งยืน เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่สร้างความสามารถระยะยาว ไม่ใช่เพียงความสะดวกระยะสั้น เพราะถ้าสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้เปลี่ยนไปในทางที่สมองไม่ถูกท้าทายอีกต่อไป เราอาจได้สังคมที่ฉลาดแบบรวดเร็ว แต่ขาดแก่นสาร และขาดความคิดเชิงลึก

ดังนั้น ประเด็นเรื่อง “การใช้ AI อย่างสมดุล” และ “ความยั่งยืนของสมอง” จึงสะท้อนความจำเป็นในการออกแบบ “สิ่งแวดล้อมทางปัญญา” ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ SDG 4 การศึกษาที่เท่าเทียมและมีคุณภาพ (Quality Education) และเกี่ยวโยงกับอีกหลายเป้าหมาย เช่น นวัตกรรม คุณภาพชีวิตมนุษย์ สุขภาพ ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมในสังคม

ท้ายที่สุดหากเราอยากอยู่ในโลกที่ทั้ง “สมองมนุษย์” และ “AI” เติบโตไปพร้อมกันอย่างมีคุณภาพ เราต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่วันนี้ เพื่อทำให้ผู้ใช้ฉลาดได้จริงและคิดได้ลึก เพราะถึงอย่างไร “ความฉลาดของคน” ก็ยั่งยืนกว่า “ความเร็วของ AI”

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์