ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็เช่นกัน เพราะเป็นทั้งพลังสร้างสรรค์และพลังมืด ในยุคที่ ChatGPT และ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการเรียน การทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน คำถามที่น่าที่สนใจมากกว่า “เราใช้มันทำอะไรได้บ้าง?”ก็คือ “เรากำลังสูญเสียอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัวหรือไม่?”
“สมองฝ่อ” เพราะพึ่งพา AI สัญญาณเตือนถึงสิ่งแวดล้อมทางปัญญาที่กำลังเสื่อมถอย
ผลการศึกษาโดย ดร.นาตาลียา คอสมีนา นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก MIT Media Lab ในหัวข้อYour Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task.สะท้อนข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่า ผู้ที่ใช้ AI ช่วยในการเขียนหรือคิดแทนอย่างสม่ำเสมอ มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะที่เรียกว่า “สมองฝ่อเชิงพฤติกรรม” หรือ Cognitive Atrophy ซึ่งเป็นสภาวะที่ระบบประมวลผลทางสมองทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้ทักษะการคิดของคนทำงานแย่ลงและลุกลามเป็นภาวะสมองฝ่อในที่ทำงาน
ปัญหาที่ลึกกว่าสมอง คือสิ่งแวดล้อมที่ขาดแรงกระตุ้นทางปัญญา
คำว่า “สิ่งแวดล้อม” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงต้นไม้ น้ำ หรืออากาศ แต่สื่อถึงสิ่งแวดล้อมทางความคิดที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน การเลือกพึ่งพา AI มากเกินไปเท่ากับการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของตนให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ลดแรงกระตุ้น ไม่มีการตั้งคำถาม และไม่มีการเชื่อมโยงประสบการณ์จริง (เหมือนกับระบบนิเวศธรรมชาติที่เสื่อมโทรม เพราะสารเคมีหรือขาดความหลากหลายทางชีวภาพ) สมองของมนุษย์เองก็ต้องพึ่งพาความหลากหลายทางความคิด (Cognitive Diversity) เพื่อการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน

AI ทำให้คนติดหนี้ทางความคิด
ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นักวิจัยได้ติดตามผู้เข้าร่วมการทดลอง 54 คน (อายุ 18-39 ปี) ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้ ChatGPT, ใช้ Google Search และเขียนเองโดยไม่พึ่งเครื่องมือ
ผลปรากฏว่า
- ผู้ที่ใช้ ChatGPT ไม่สามารถจำเนื้อหาที่ตนเขียนได้ แม้เพิ่งเขียนเสร็จ
- การเชื่อมโยงของเส้นใยสมองลดลง จาก 79 จุด เหลือเพียง 42 จุด
- เมื่อเขียนเรียงความโดยไม่ใช้ AI อีกครั้ง กลุ่มนี้ทำผลงานได้แย่กว่ากลุ่มที่ไม่เคยใช้ AI มาก่อน
ทีมวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า Cognitive Debt หรือการติดหนี้ทางความคิด ซึ่งเปรียบได้กับการยืมสมองของ AI มาใช้ทันที แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นความสามารถทางสมองของตัวเองที่ลดลงในระยะยาว
AI ไม่ผิด!! แต่ระบบนิเวศทางการเรียนรู้ที่บิดเบี้ยวคือปัญหา
การใช้ AI อย่างเหมาะสมมีข้อดี เช่น สำหรับผู้ที่มีระบบการคิดที่แข็งแรงอยู่แล้ว การใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช่ที่พึ่ง เพราะความยั่งยืนที่แท้จริงไม่ใช่การที่ AI จะมา “แทนที่มนุษย์” แต่คือการ “ร่วมมือกับเครื่องมือ” อย่างสมดุล
สิ่งนี้ชวนให้ตั้งคำถามถึงโครงสร้างระบบการศึกษาปัจจุบัน ที่อาจเริ่มสร้างนิสัยพึ่งพาเครื่องมือก่อนพัฒนาทักษะตนเอง เช่นเดียวกับการสร้างโรงเรียนอัจฉริยะโดยไม่สร้างแรงบันดาลใจ หรือการให้เด็กใช้ ChatGPT เขียนรายงานโดยไม่ได้เข้าใจเนื้อหาจริงๆ

ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ไม่ทำลาย “ความยั่งยืนของสมอง”
การใช้เทคโนโลยี เช่น AI หรือแชตบอตอัจฉริยะอย่าง ChatGPT ให้เกิดประโยชน์โดยไม่กระทบต่อพัฒนาการทางสมอง ต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า “AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป” ผู้ใช้ควรฝึกคิด วิเคราะห์ และสร้างความเข้าใจด้วยตนเองก่อน แล้วค่อยใช้ AI เป็นผู้ช่วยเสริมในจุดที่ต้องการ เช่น การเปรียบเทียบแนวคิด หาข้อมูลประกอบ หรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้เชิงลึกแทนที่จะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการคิด
สมองมนุษย์เปรียบได้กับระบบนิเวศทางปัญญาที่ต้องการ “การใช้งาน” อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาศักยภาพ เมื่อใดที่เราเลิกใช้กลไกคิดเอง สมองจะเริ่ม “เสื่อม” คล้ายกล้ามเนื้อที่ขาดการออกกำลังกาย การใช้ AI อย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่การเลิกใช้ แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างการคิดด้วยตนเองกับการใช้เทคโนโลยีช่วยขยายขอบเขตของความรู้ โดยไม่ละทิ้งรากฐานของความคิดมนุษย์เอง
แนะพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน
ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาแบบก้าวกระโดด เราควรยิ่งตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมเชิงปัญญา (Cognitive Environment) ที่มนุษย์จะเติบโตอยู่ร่วมกับ AI อย่างมีคุณภาพ ในภาคนโยบายควรมีบทบาทในการกำกับทิศทาง เช่น ออกแบบหลักสูตรที่ฝึกให้ “คิดก่อนใช้” ฝึกการใช้ AI เป็นส่วนเสริม ไม่ใช่ศูนย์กลาง พร้อมปลูกฝังแนวคิดว่า “สมองคือกล้ามเนื้อที่ต้องใช้งานเสมอ”
ในมุมของความยั่งยืน เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่สร้างความสามารถระยะยาว ไม่ใช่เพียงความสะดวกระยะสั้น เพราะถ้าสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้เปลี่ยนไปในทางที่สมองไม่ถูกท้าทายอีกต่อไป เราอาจได้สังคมที่ฉลาดแบบรวดเร็ว แต่ขาดแก่นสาร และขาดความคิดเชิงลึก
ดังนั้น ประเด็นเรื่อง “การใช้ AI อย่างสมดุล” และ “ความยั่งยืนของสมอง” จึงสะท้อนความจำเป็นในการออกแบบ “สิ่งแวดล้อมทางปัญญา” ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ SDG 4 การศึกษาที่เท่าเทียมและมีคุณภาพ (Quality Education) และเกี่ยวโยงกับอีกหลายเป้าหมาย เช่น นวัตกรรม คุณภาพชีวิตมนุษย์ สุขภาพ ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมในสังคม
ท้ายที่สุดหากเราอยากอยู่ในโลกที่ทั้ง “สมองมนุษย์” และ “AI” เติบโตไปพร้อมกันอย่างมีคุณภาพ เราต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่วันนี้ เพื่อทำให้ผู้ใช้ฉลาดได้จริงและคิดได้ลึก เพราะถึงอย่างไร “ความฉลาดของคน” ก็ยั่งยืนกว่า “ความเร็วของ AI”