AI ฉลาดขึ้น แต่โลกยั่งยืนน้อยลง? ดราม่า GPT-5 เปิดตัวพร้อมคำถามใหญ่ที่ OpenAI ยังไม่ตอบ

10 ส.ค. 2568 - 01:49

  • ChatGPT-5 อาจใช้พลังงานรวมกันเทียบเท่ากับความต้องการไฟฟ้าในสหรัฐฯ ถึง 1.5 ล้านหลังต่อวัน!!!

  • AI ฉลาดขึ้น แต่โลกยั่งยืนน้อยลง? เมื่อ ChatGPT เปิดตัว GPT-5 อย่างเป็นทางการ พร้อมคำถามใหญ่ที่ OpenAI ยังไม่ตอบ

  • เบื้องหลังพลังของ OpenAI คือพลังงานมหาศาล นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กังวลความโปร่งใส พร้อมถามถึงรอยเท้าคาร์บอน

AI ฉลาดขึ้น แต่โลกยั่งยืนน้อยลง? ดราม่า GPT-5 เปิดตัวพร้อมคำถามใหญ่ที่ OpenAI ยังไม่ตอบ

หลัง OpenAI เปิดตัว GPT-5 อย่างเป็นทางการ โลกเทคโนโลยีต่างตื่นตาตื่นใจกับความสามารถที่ก้าวล้ำ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ ตอบคำถามระดับปริญญาเอกไปจนถึงใช้เหตุผลเชิงลึกในการวิเคราะห์ปัญหาซับซ้อน หลายคนกล่าวว่า GPT-5 ไม่ได้แค่ “เก่งกว่า” แต่ยัง “ใกล้เคียงมนุษย์” มากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา

แต่เบื้องหลังความน่าทึ่งเหล่านี้ กลับมีคำถามสำคัญที่ยังไร้คำตอบอย่างชัดเจนว่า AI ฉลาดขึ้นต้องแลกด้วยอะไร? และใครกันที่เป็นผู้จ่าย?

เมื่อความสามารถเพิ่มขึ้น แต่ความโปร่งใสลดลง

...รู้หรือไม่ว่า OpenAI ไม่เปิดเผยข้อมูลพลังงานของโมเดลตั้งแต่ GPT-3

หนึ่งในประเด็นที่นักวิจัยเน้นย้ำ คือการขาดความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี AI อย่าง OpenAI ซึ่งไม่ได้เปิดเผยข้อมูลด้านพลังงานของโมเดลอย่างเป็นทางการตั้งแต่ GPT-3 ในปี 2020 มีเพียงตัวเลขที่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เคยระบุไว้ในบล็อกส่วนตัวว่า แต่ละคำขอใช้พลังงาน 0.34 วัตต์-ชม. และน้ำ 0.000085 แกลลอน แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นข้อมูลของโมเดลใด และไม่มีหลักฐานประกอบ

กลางปี 2023 หากผู้ใช้ขอสูตรพาสต้าที่ทำจากอาร์ติโชค จาก ChatGPT ของ OpenAI ระบบอาจใช้พลังงานประมาณ 2 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับหลอดไส้ที่เปิดไว้ 2 นาที

ล่าสุด OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ GPT-5 ซึ่งอยู่เบื้องหลัง ChatGPT เวอร์ชั่นล่าสุด นักวิชาการระบุว่าหากใช้ GPT-5 ขอสูตรพาสต้าแบบเดิม การประมวลผลอาจใช้พลังงานมากกว่ารุ่นก่อนถึง 20 เท่า!! หรือมากกว่านั้น

ในการเปิดตัว GPT-5 บริษัทได้เน้นย้ำถึงศักยภาพที่โดดเด่นของโมเดลนี้ เช่น ความสามารถในการสร้างเว็บไซต์ การตอบคำถามระดับปริญญาเอกในวิทยาศาสตร์ และใช้เหตุผลแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ทว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องการใช้พลังงานของโมเดล AI ระบุว่าความสามารถเหล่านี้ต้องแลกมาด้วย “ต้นทุนทางพลังงานที่สูงมาก” โดยการตอบกลับจาก GPT-5 อาจใช้พลังงานมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นทำให้นักวิจัยต้องอาศัยการประมาณค่าการวัดทางอ้อม และการสันนิษฐานเกี่ยวกับการจัดสรรชิปในศูนย์ข้อมูล (Data Centers) เพื่อประเมินพลังงานที่ใช้จริง ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแม่นยำ

“โมเดลที่ซับซ้อนกว่าอย่าง GPT-5 ใช้พลังงานมากขึ้นทั้งในการฝึกและการตอบคำถาม โดยเฉพาะการใช้ในโหมดการใช้เหตุผล (Reasoning) ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้พลังงานมากกว่า GPT-4”

ศาสตราจารย์ Rakesh Kumar แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ กล่าว

GPT-5 ใช้พลังงานและน้ำมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนจริงหรือไม่?

นี่คือคำถามที่เราป้อนไปเพื่อให้ ChatGPT ตอบ ... คำตอบที่ได้คือ“ใช่” มีหลักฐานจากการศึกษาและการวิเคราะห์หลายแหล่งที่ชี้ให้เห็นว่า GPT‑5 ต้องการทรัพยากรมากกว่ารุ่นก่อนจริงๆ สำหรับด้านการใช้พลังงาน (Energy Consumption) นักวิจัยพบว่าการฝึก (Training) GPT‑5 อาจใช้พลังงานอย่างน้อย 3,500 MWh ซึ่งมากกว่าการฝึก GPT‑3 ที่ใช้ราว 1,287 MWh และสูงกว่าการประเมิน GPT‑4 โดยประมาณ

สำหรับการใช้งาน (Inference) หรือการตอบกลับคำถามทั่วไป รุ่น GPT‑5 ใช้พลังงานเฉลี่ยประมาณ 18 Wh ต่อการตอบคำถามขนาดกลาง (ราว 1,000 โทเค็น) ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนอย่างมาก

ขณะที่ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากศูนย์รักษาความปลอดภัยด้านนํ้าแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ในสหรัฐฯ ระบุว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันคาดว่ามีมากกว่า 11,000 แห่งทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และการเติบโตดังกล่าวมาพร้อมกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการใช้นํ้าจำนวนมหาศาล

sustainability-gpt-5-gets-smarter-but-at-what-cost-to-the-planet-SPACEBAR-Photo01.jpg

GPT-5 พลังที่มองไม่เห็น แต่ใช้พลังงานมากกว่าเดิมหลายเท่า

รายงานล่าสุด จากมหาวิทยาลัยโรดไอแลนด์ เผยว่าข้อความระดับกลางประมาณ 1,000 โทเคน ที่สร้างจาก GPT-5 อาจใช้ไฟฟ้าสูงถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับหลอดไฟไส้ 60 วัตต์ ที่เปิดนาน 40 นาที หากคิดตามจำนวนคำขอที่ผู้ใช้ทั่วโลกส่งเข้ามาหา ChatGPT กว่า 2,500 ล้านครั้งต่อวัน GPT-5 อาจใช้พลังงานรวมกันเทียบเท่ากับความต้องการไฟฟ้าของบ้านในสหรัฐฯ ถึง 1.5 ล้านหลังต่อวัน!!!

ปัจจุบัน ChatGPT-5 เปิดให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ทั่วโลกที่มีจำนวนเกือบ 700 ล้านคนต่อสัปดาห์ ตามที่ OpenAI แจ้งในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าว

ทำไม GPT-5 ใช้พลังงานมาก?

ข้อมูลจากเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ ระบุว่าแม้จะยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนพารามิเตอร์ (หน่วยวัดขนาดของโมเดล AI) ตั้งแต่ GPT-3 ที่มี 175 พันล้านพารามิเตอร์ แต่นักวิจัยคาดว่า GPT-5 ใหญ่กว่ารุ่นก่อนมาก เช่น GPT-4 เชื่อว่ามีขนาดใหญ่กว่า GPT-3 ถึง 10 เท่า

“มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างขนาดของโมเดลกับการใช้พลังงาน หากโมเดลใหญ่ขึ้น 10 เท่า การใช้ทรัพยากรจะมากขึ้น 1 ลำดับขั้น (order of magnitude)”

Mistral บริษัทฝรั่งเศส ระบุ

แม้ว่า OpenAI จะพัฒนาโครงสร้างแบบ “mixture-of-experts” ที่ช่วยลดการใช้พลังงาน โดยเปิดใช้งานเฉพาะบางส่วนของโมเดลในการประมวลผลแต่ละครั้ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ แถม GPT-5 ยังรองรับภาพ วิดีโอ และโหมด Reasoning ที่ใช้เวลาคิดนานขึ้น จึงใช้พลังงานมากขึ้นเช่นกัน หากเทียบกับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทั้งหมดจึงสะท้อนถึงการเติบโตที่ยังไม่ยั่งยืน

AI ใช้นํ้าใน 3 วัตถุประสงค์หลักคือ ใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน เพื่อผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ และการใช้นํ้าในห่วงโซ่อุปทานของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการพัฒนา AI
AI ใช้นํ้าใน 3 วัตถุประสงค์หลักคือ ใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน เพื่อผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ และการใช้นํ้าในห่วงโซ่อุปทานของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการพัฒนา AI

เรากำลังแลกอะไรกับ AI ที่ฉลาดขึ้น?

ความก้าวหน้าทาง AI ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเรื่องของ “ความยั่งยืน” และการอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

คำถามสำคัญคือ AI ที่ฉลาดขึ้นนั้นคุ้มค่าหรือไม่? หากต้องแลกมาด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในอัตราที่สูงจนไม่สามารถชดเชยได้

ในยุคที่โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อน วิกฤตพลังงาน และการขาดแคลนน้ำ AI ไม่ควรเป็นแค่เครื่องมืออัจฉริยะที่ตอบคำถามได้เก่งขึ้น แต่ต้องเป็นเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับหลักการของความยั่งยืน

ถึงเวลาเปิดเผย “รอยเท้าคาร์บอน” ของ AI

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยโรดไอแลนด์ เสนอว่า บริษัทผู้พัฒนา AI ควรเปิดเผยข้อมูลด้านพลังงาน น้ำ และการปล่อยคาร์บอนทุกครั้งที่เปิดตัวโมเดลใหม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เพราะในที่สุดแล้ว อนาคตของ AI ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความฉลาด” แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า...“มันจะฉลาดไปพร้อมกับโลกที่ยังน่าอยู่ได้อย่างไร?”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์