จีนเปิดเกมสู้โลกร้อนดันแผนลดคาร์บอน 2035 สหรัฐฯ สวนทางหนุนฟอสซิล

23 ก.ย. 2568 - 10:07

  • จีนเตรียมเปิดแผนลดคาร์บอนฉบับใหม่ในเวที UN Climate Ambition Summit สัปดาห์นี้ ก่อนเข้าสู่เวที COP30

  • เป้าหมายปี 2035 จะครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจและก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด อาจเป็นจุดชี้ชะตาอนาคตเป้าหมาย 1.5°C ของโลก

  • ท่ามกลางการถอยหลังของสหรัฐฯ และความล่าช้าของยุโรป จีนใช้กลยุทธ์ “เป้าเล็ก เล่นใหญ่” เสริมความน่าสนใจในเวทีโลก

จีนเปิดเกมสู้โลกร้อนดันแผนลดคาร์บอน 2035 สหรัฐฯ สวนทางหนุนฟอสซิล

จีนเตรียมประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ในสัปดาห์นี้ ขณะที่นานาชาติจับตามองบทบาทของประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก โดยคิดเป็นเกือบ 30% ของการปล่อยรายปี ทว่า แดนมังกรกลับพลิกบทบาทใหม่พร้อมวางตำแหน่งเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีสีเขียวที่ขับเคลื่อนมาตรการสู้โลกร้อนในการเจรจาสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ ท่ามกลางความล่าช้าของยุโรป และท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่กลับมาสนับสนุนพลังงานฟอสซิล

การประกาศดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นในเวที Climate Ambition Summit ซึ่งจัดขึ้น โดย อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ ระหว่างการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยจีนจะเปิดเผยการมีส่วนร่วมที่กำหนดในระดับชาติ (Nationally Determined Contributions-NDC) ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารที่แต่ละประเทศต้องจัดทำตามพันธะของความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อแสดงเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะกลางและระยะยาว

เป้าหมาย 2035 จุดเปลี่ยนของอนาคต

การตัดสินใจของจีนว่าจะตั้งเป้าหมายการลดคาร์บอนในปี 2035 อย่างไร อาจมีผลต่อการรักษาเป้าหมายสูงสุดของข้อตกลงปารีสในการควบคุมภาวะโลกร้อนให้อยู่ “ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส” และพยายามจำกัดที่ “1.5 องศาเซลเซียส” เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม

นายกูเตร์เรส ให้สัมภาษณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะ “พังทลาย” หากประเทศหลักไม่เร่งปรับแผนลดคาร์บอนให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์

ด้าน อานา โทนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร COP30 จากบราซิล กล่าวว่า จีนเป็นพันธมิตรที่มั่นคงมาก เราคาดหวังให้จีนเดินต่อไปในเส้นทางที่ถูกต้อง และหวังว่าผู้เล่นคนอื่นจะทำเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ตามแถลงการณ์ของทางการจีน แผนใหม่ปี 2035 จะเป็นครั้งแรกที่ครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจและทุกประเภทของก๊าซเรือนกระจก ไม่จำกัดเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ จีนเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2030 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2060 แต่ไม่วายถูกวิจารณ์ว่าเป้าหมายยัง “ไม่เพียงพอ”

sustainability-china-leads-on-climate-action-while-us-backs-fossil-fuels-SPACEBAR-Photo01.jpg

“เป้าเล็ก เล่นใหญ่” กลยุทธ์ที่สร้างความเชื่อมั่น

นักวิเคราะห์ระบุว่า นโยบายของจีนมีลักษณะเฉพาะคือ “ตั้งเป้าน้อย แต่ทำได้มาก” ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาวมากกว่าการประกาศเป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินจริง

“แนวทางของจีนคือ เราจะตั้งเป้าหมายแบบพอประมาณ แล้วทำให้เกินกว่านั้น”

เฮเลน คลาร์กสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Climate Group องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิ่งแวดล้อม

สหรัฐฯ กลับลำหนุนฟอสซิล-ยุโรปขาดทิศทางร่วม

ในขณะที่จีนกำลังเดินหน้าเสนอบทบาทใหม่ทางเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีสีเขียว เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า สหรัฐฯ กลับเดินหน้าอีกทางหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลอย่างจริงจัง

สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ถอนตัวจากความตกลงปารีสในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว เช่น ขู่ลงโทษประเทศที่เข้าร่วมระบบกำหนดราคาคาร์บอนขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) และผูกการขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) กับข้อตกลงการค้า

“ประเทศต่างๆ กำลังถูกนำเสนอด้วยข้อเสนอขายสองแบบคือ จีนเสนอแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนสหรัฐฯ ผลักดันก๊าซธรรมชาติ”

มานิช บัปนา ประธาน National Resources Defense Council ระบุ

ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านนโยบายภูมิอากาศ กลับไม่สามารถบรรลุฉันทามติในแผนร่วมใหม่ได้ทันเวลาการประชุม UNGA โดยออกเป็นเพียง “ถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์” ที่ไม่มีผลผูกพัน

จีน-สหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับภูมิอากาศ

บทวิเคราะห์ยังชี้ว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงภูมิอากาศ กับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน แต่ต่างกันที่ระยะเวลาและโครงสร้างการตัดสินใจ

“สำหรับจีน นี่คือแผนเศรษฐกิจระยะยาว และแน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพราะโครงสร้างทางการเมือง
สิ่งที่โลกตะวันตกยังหาคำตอบไม่ได้คือ จะจัดทำแผนสภาพภูมิอากาศระยะยาวอย่างไรในระบบประชาธิปไตยที่เปลี่ยนผู้นำบ่อย”

เฮเลน คลาร์กสัน กล่าว

แม้จีนจะถูกวิจารณ์จากหลายประเทศในประเด็นสิทธิมนุษยชนหรือเสรีภาพ แต่ในประเด็นภูมิอากาศโลก ประเทศนี้กลับได้รับการจับตามองในฐานะ “ผู้เล่นตัวหลัก” ที่อาจกลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเป้าหมายปารีสเอาไว้ได้

ดังนั้น อนาคตชี้ชะตากรรมโลกที่ผูกไว้กับตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียส อาจไม่ได้อยู่ในมือของประเทศที่พูดเสียงดังที่สุด แต่อยู่ในมือของประเทศที่ลงมือทำจริงมากที่สุด ซึ่งในเวลานี้ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ “ปักกิ่ง”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์