จีนเตรียมประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ในสัปดาห์นี้ ขณะที่นานาชาติจับตามองบทบาทของประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก โดยคิดเป็นเกือบ 30% ของการปล่อยรายปี ทว่า แดนมังกรกลับพลิกบทบาทใหม่พร้อมวางตำแหน่งเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีสีเขียวที่ขับเคลื่อนมาตรการสู้โลกร้อนในการเจรจาสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ ท่ามกลางความล่าช้าของยุโรป และท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่กลับมาสนับสนุนพลังงานฟอสซิล
การประกาศดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นในเวที Climate Ambition Summit ซึ่งจัดขึ้น โดย อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ ระหว่างการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยจีนจะเปิดเผยการมีส่วนร่วมที่กำหนดในระดับชาติ (Nationally Determined Contributions-NDC) ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารที่แต่ละประเทศต้องจัดทำตามพันธะของความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อแสดงเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะกลางและระยะยาว
เป้าหมาย 2035 จุดเปลี่ยนของอนาคต
การตัดสินใจของจีนว่าจะตั้งเป้าหมายการลดคาร์บอนในปี 2035 อย่างไร อาจมีผลต่อการรักษาเป้าหมายสูงสุดของข้อตกลงปารีสในการควบคุมภาวะโลกร้อนให้อยู่ “ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส” และพยายามจำกัดที่ “1.5 องศาเซลเซียส” เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม
นายกูเตร์เรส ให้สัมภาษณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะ “พังทลาย” หากประเทศหลักไม่เร่งปรับแผนลดคาร์บอนให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
ด้าน อานา โทนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร COP30 จากบราซิล กล่าวว่า จีนเป็นพันธมิตรที่มั่นคงมาก เราคาดหวังให้จีนเดินต่อไปในเส้นทางที่ถูกต้อง และหวังว่าผู้เล่นคนอื่นจะทำเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ตามแถลงการณ์ของทางการจีน แผนใหม่ปี 2035 จะเป็นครั้งแรกที่ครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจและทุกประเภทของก๊าซเรือนกระจก ไม่จำกัดเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ จีนเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2030 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2060 แต่ไม่วายถูกวิจารณ์ว่าเป้าหมายยัง “ไม่เพียงพอ”

“เป้าเล็ก เล่นใหญ่” กลยุทธ์ที่สร้างความเชื่อมั่น
นักวิเคราะห์ระบุว่า นโยบายของจีนมีลักษณะเฉพาะคือ “ตั้งเป้าน้อย แต่ทำได้มาก” ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาวมากกว่าการประกาศเป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินจริง
“แนวทางของจีนคือ เราจะตั้งเป้าหมายแบบพอประมาณ แล้วทำให้เกินกว่านั้น”
— เฮเลน คลาร์กสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Climate Group องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิ่งแวดล้อม
สหรัฐฯ กลับลำหนุนฟอสซิล-ยุโรปขาดทิศทางร่วม
ในขณะที่จีนกำลังเดินหน้าเสนอบทบาทใหม่ทางเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีสีเขียว เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า สหรัฐฯ กลับเดินหน้าอีกทางหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลอย่างจริงจัง
สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ถอนตัวจากความตกลงปารีสในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว เช่น ขู่ลงโทษประเทศที่เข้าร่วมระบบกำหนดราคาคาร์บอนขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) และผูกการขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) กับข้อตกลงการค้า
“ประเทศต่างๆ กำลังถูกนำเสนอด้วยข้อเสนอขายสองแบบคือ จีนเสนอแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนสหรัฐฯ ผลักดันก๊าซธรรมชาติ”
— มานิช บัปนา ประธาน National Resources Defense Council ระบุ
ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านนโยบายภูมิอากาศ กลับไม่สามารถบรรลุฉันทามติในแผนร่วมใหม่ได้ทันเวลาการประชุม UNGA โดยออกเป็นเพียง “ถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์” ที่ไม่มีผลผูกพัน
จีน-สหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับภูมิอากาศ
บทวิเคราะห์ยังชี้ว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงภูมิอากาศ กับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน แต่ต่างกันที่ระยะเวลาและโครงสร้างการตัดสินใจ
“สำหรับจีน นี่คือแผนเศรษฐกิจระยะยาว และแน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพราะโครงสร้างทางการเมือง สิ่งที่โลกตะวันตกยังหาคำตอบไม่ได้คือ จะจัดทำแผนสภาพภูมิอากาศระยะยาวอย่างไรในระบบประชาธิปไตยที่เปลี่ยนผู้นำบ่อย”
— เฮเลน คลาร์กสัน กล่าว
แม้จีนจะถูกวิจารณ์จากหลายประเทศในประเด็นสิทธิมนุษยชนหรือเสรีภาพ แต่ในประเด็นภูมิอากาศโลก ประเทศนี้กลับได้รับการจับตามองในฐานะ “ผู้เล่นตัวหลัก” ที่อาจกลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเป้าหมายปารีสเอาไว้ได้
ดังนั้น อนาคตชี้ชะตากรรมโลกที่ผูกไว้กับตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียส อาจไม่ได้อยู่ในมือของประเทศที่พูดเสียงดังที่สุด แต่อยู่ในมือของประเทศที่ลงมือทำจริงมากที่สุด ซึ่งในเวลานี้ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ “ปักกิ่ง”