เปิดข้อมูลล่าสุดของไทย...ใครคือหัวใจสู่ Net Zero? จากความตกลงปารีส ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการบรรลุ Net Zero Greenhouse Gas Emission ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) โดยมีการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีของ UNFCCC อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ร่วมกับ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) จัดเก็บข้อมูลและประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับจังหวัด ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ข้อมูลจากรายงาน BUR ฉบับที่ 4 ของไทย (ปีฐาน พ.ศ. 2562) ระบุว่า ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอยู่ที่ประมาณ 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) คิดเป็นประมาณ 0.7% ของการปล่อยทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เกิดจากภาคพลังงาน อุตสาหกรรม และการขนส่ง

5 จังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร
ใช้ปีฐาน พ.ศ. 2556 (ภายใต้โครงการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด) มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y) ซึ่ง กทม. มีประชากรกว่า 5.4 ล้านคน และหากรวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยอีกรวมกว่า 10 ล้านคน ส่งผลให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดมาจากภาคพลังงานและการขนส่ง เกินกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด
อันดับ 2 ชลบุรี
จังหวัดศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ชลบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดหัวใจของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีนิคมอุตสาหกรรมหนาแน่น มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 3 สระบุรี
เมืองแห่ง “โรงปูน” ของประเทศ มีแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลในการเผาหินปูน นับเป็นกระบวนการที่ปล่อย CO₂ โดยตรงจากกระบวนการผลิตและปฏิกิริยาเคมี (Process emissions) และจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 4 ระยอง
อาณาจักรปิโตรเคมีของไทย ระยองเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งมีโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และโรงงานเคมีขนาดใหญ่ ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงและสารเคมีเข้มข้นสูง มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 18 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 5 สมุทรปรากา
เมืองอุตสาหกรรมหนักแนวชายฝั่ง จังหวัดสมุทรปราการมีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ตั้งแต่เหล็กกล้า อิเล็กทรอนิกส์ จนถึงโรงงานเคมีจำนวนมาก อีกทั้งยังใกล้กรุงเทพฯ จึงมีทั้งโรงงานและประชากรอาศัยหนาแน่น การขนส่ง การใช้พลังงานในอาคาร และการจราจร ล้วนเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมาก มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่า 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)

5 จังหวัดที่ดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด หรือบรรลุ Net Zero แล้ว
1. จังหวัดเพชรบุรี
ผืนป่าแก่งกระจานกับบทบาทกักเก็บคาร์บอน เพชรบุรีมีพื้นที่ป่าราว 64% ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะป่าแก่งกระจานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรรมชาติ “กลุ่มป่าแก่งกระจาน” ครอบคลุมกว่า 2.4 ล้านไร่ ทำหน้าที่เป็น "ปอดของประเทศ" โดยคาดการณ์ว่าสามารถดูดซับและกักเก็บ CO₂ ได้มากถึง 16.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
2. จังหวัดกาญจนบุรี
ผืนป่าตะวันตกของไทย กาญจนบุรีมีพื้นที่ป่าราว 67% หรือประมาณ 5.8 ล้านไร่ ครอบคลุมผืนป่าตะวันตกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผืนป่าแห่งนี้สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ราว 5.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
3. จังหวัดน่าน
เมืองแห่งการฟื้นฟูป่าและเกษตรคาร์บอนต่ำ แม้ในอดีตน่านจะเคยเผชิญกับปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อปลูกข้าวโพดอย่างหนัก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามฟื้นฟูป่าอย่างจริงจังจนพื้นที่ป่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น ราว 60% หรือประมาณ 4.2 ล้านไร่ ทำให้น่านสามารถลด และ ดูดซับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4.96 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
4. จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ดินแดนแห่งป่าเขา แต่เผชิญความท้าทาย แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มี พื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็น 85% หรือราว 7.3 ล้านไร่ แต่ป่ากว่า 40% อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม จากทั้งการบุกรุกเพื่อทำเกษตรและไฟป่าซ้ำซาก แต่หากฟื้นฟูได้อย่างต่อเนื่อง พื้นที่ป่าของแม่ฮ่องสอน สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 4.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
5. จังหวัดเชียงใหม่
ป่ารอบเมืองใหญ่ กับแนวทางชุมชนสีเขียว เชียงใหม่มีพื้นที่ป่าประมาณ 60% ทั้งป่าธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ เช่น ดอยอินทนนท์ และป่าชุมชนรอบพื้นที่เกษตร มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 3.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

ประเทศไทยยังขาดอีกเกือบ 30 ล้านตัน!!
แม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่ป่าที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้รวมประมาณ 91 ล้านตันต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับเป้าหมาย Net Zero ที่ต้องลดหรือดูดซับให้ได้ 120 ล้านตัน CO₂ เทียบเท่าต่อปี
การจะไปให้ถึงเป้าหมาย Net Zero ในอีก 40 ปีข้างหน้า จึงไม่สามารถพึ่งพาการปลูกป่าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปล่อยสูง ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางเฉพาะ เช่น
- การใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน
- การปรับระบบขนส่งในเมือง
- การยกระดับการบริหารจัดการพลังงานในภาคธุรกิจและครัวเรือน
- การส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาดและการลงทุนในอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ
จังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด กำลังกลายเป็น “แนวหน้า” ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่จังหวัดที่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มาก ควรได้รับการสนับสนุนให้รักษาและขยายพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง หากทั้งประเทศเดินหน้าไปพร้อมกัน เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ก็อาจไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง