“ถ้าป่าไม้และสัตว์ป่าถูกทำลาย ชีวิตของเราก็จะถูกทำลายไปด้วย”
— สืบ นาคะเสถียร
1 กันยายน ของทุกปีถูกยกให้เป็น “วันสืบ นาคะเสถียร” เพื่อรำลึกถึงนักอนุรักษ์ผู้พลีชีพเพื่อผืนป่าและสัตว์ป่าไทย ปี 2568 ครบรอบ 35 ปี แห่งการจากไปของบุรุษที่ยืนหยัดต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในวันที่สังคมยังไม่พร้อมฟังเสียงของธรรมชาติ แต่จุดประกายให้คนรุ่นหลังลุกขึ้นปกป้องผืนป่าอย่างจริงจัง
จากนักวนศาสตร์ สู่นักสู้เพื่อผืนป่า
สืบ นาคะเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2492 ที่จังหวัดปราจีนบุรี สำเร็จการศึกษาคณะวนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศึกษาต่อด้านอนุรักษ์วิทยาที่ University of London ประเทศอังกฤษ เขาเริ่มต้นเส้นทางอนุรักษ์ในพื้นที่เขาเขียว–เขาชมพู่ จังหวัดชลบุรี ก่อนก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ในปี 2532
ในยุคที่การลักลอบล่าสัตว์และตัดไม้ยังเป็นเรื่องปกติ สืบเป็นเพียงไม่กี่คนที่ยืนหยัดอย่างไม่หวั่นเกรง เขาทำงานเชิงนโยบายไปพร้อมกับภาคสนาม บันทึกข้อมูลอย่างละเอียด เสนอแผนอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ และเดินหน้าผลักดันให้ผืนป่าห้วยขาแข้ง–ทุ่งใหญ่นเรศวร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกโลกทางธรรมชาติ” โดยยูเนสโก
แต่เส้นทางอนุรักษ์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สืบต้องเผชิญกับระบบราชการ อุปสรรคทางนโยบาย และข้อจำกัดของกฎหมาย การสูญเสียเจ้าหน้าที่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ความสิ้นหวังที่สะสมยาวนาน...นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของชีวิต

1 กันยายน 2533 เสียงปืนที่ปลุกสังคมให้ตื่น
การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร ด้วยอัตวิบาตกรรมในวันที่ 1 กันยายน 2533 ในวัยเพียง 40 ปี สะเทือนใจผู้คนทั่วประเทศ ทว่า เสียงปืนหนึ่งนัดจากบ้านพักในห้วยขาแข้ง กลับกลายเป็นเสียงเรียกร้องที่ดังก้องไปทั้งสังคม จุดประกายให้เกิดกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังในประเทศไทย
หนึ่งปีหลังจากนั้น ในปี 2534 ผืนป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกโลก” โดยเอกสารที่สืบจัดทำไว้เป็นข้อมูลหลักที่ใช้ในการพิจารณา
สืบทอดเจตนารมณ์ จากมูลนิธิสืบฯ ถึงครอบครัวห้วยขาแข้ง
หลังการจากไป “มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร” ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสานต่อภารกิจของเขา ปัจจุบันมูลนิธิฯ ทำงานร่วมกับกรมอุทยานฯ ชุมชน และองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ในหลายระดับ ตั้งแต่การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การติดตามสัตว์ป่า ไปจนถึงการสื่อสารสาธารณะและเสริมพลังชุมชน
วันนี้ชุมชนรอบห้วยขาแข้งเกือบทุกแห่งมี “ป่าชุมชน” เป็นของตนเอง และร่วมเป็นเครือข่าย #ครอบครัวห้วยขาแข้ง ดูแลผืนป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ นี่คือผลแห่งความสำเร็จจากแนวคิด “การอนุรักษ์โดยชุมชน” ที่สืบเคยเชื่อมั่น
ตัวชี้วัดเชิงระบบ ป่ากลับมา เสือโคร่งยังอยู่
ข้อมูลจากสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ชี้ว่าประชากรเสือโคร่งในผืนป่าทุ่งใหญ่–ห้วยขาแข้งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงระบบนิเวศโดยรวมยังคงความสมบูรณ์ ทั้งเหยื่อของเสือและพืชพรรณที่จำเป็นต่อห่วงโซ่อาหารก็ยังอยู่ครบ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของประชากรแร้งหลังหายไปกว่า 30 ปี ก็สะท้อนความสำเร็จของการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม
จากป่า 20% สู่เป้าหมาย 40% ภารกิจยังไม่สิ้นสุด
วันนี้ ผืนป่าอนุรักษ์ของประเทศที่ สืบ นาคะเสถียร เสนอให้มีพื้นที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ของประเทศไทย ได้ขยายพื้นที่จนเกินกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในการผนวกรวมพื้นที่ป่าเป็นป่าอนุรักษ์ และในทุกๆ ปี ได้มีการติดตามสถานการณ์ทรัพยากรป่าไม้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทราบถึงสภาพปัจจุบันของผืนป่าในประเทศไทยแม้ว่าผืนป่าอนุรักษ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ภาพรวมสถานการณ์ป่าไม้ของประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยอื่น เช่น การขยายตัวของเมืองและภาคเกษตร
ปัจจุบันประเทศไทยยังมีความพยายามที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 40 ของประเทศ และต้องการความร่วมมือในการอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าเพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญนี้ยังคงอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป ภารกิจจึงยังไม่สิ้นสุด
การสื่อสารเพื่อความเปลี่ยนแปลง
ตลอด 35 ปีที่ผ่านมา การสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนจากเรื่องเฉพาะกลุ่มกลายเป็นประเด็นสาธารณะที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่โซเชียลมีเดียไปจนถึงเวทีนโยบาย การรณรงค์ การศึกษา และการสร้างแรงบันดาลใจกลายเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับงานอนุรักษ์มากขึ้น

รำลึก…เพื่อเริ่มต้นใหม่
วันสืบ นาคะเสถียร ไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงบุคคล แต่เป็นวันแห่งการทบทวนบทเรียนของอดีต เพื่อออกแบบอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับธรรมชาติและมนุษย์
...35 ปีผ่านไป เสียงปืนในห้วยขาแข้งยังคงสะท้อนอยู่ในความทรงจำของคนไทย การต่อสู้เพื่อผืนป่าอาจยาวนานและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ “เจตนารมณ์ของสืบ” ยังคงเป็นแสงนำทางให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาปกป้องสิ่งแวดล้อม ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความรับผิดชอบร่วมกัน