รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันคลื่นขนาดยักษ์ยาว 700 กิโลเมตร มูลค่า 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท) ตลอดชายฝั่งเกาะชวา เพื่อต่อสู้กับปัญหาการสูญเสียพื้นดินที่เกิดจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและการสูบน้ำใต้ดินที่ทำให้ดินทรุดตัว
ประธานาธิบดี Prabowo Subianto เรียกโครงการนี้ว่าเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญที่สุด เพื่อช่วยเหลือชุมชนชายฝั่งในเกาะชวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของอินโดนีเซียทั้งหมด 280 ล้านคน รวมถึงกรุงจาการ์ตาที่กำลังจมตัวอย่างรวดเร็ว

ชุมชนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
สำหรับ Karminah หญิงวัย 50 ปีจากหมู่บ้าน Bedono การสร้างเขื่อนป้องกันคลื่นเป็นเสมือนความหวังสุดท้าย เธอเล่าว่า สิ่งสำคัญคือไม่ให้น้ำท่วมที่นี่ เพื่อให้อยู่ได้สบาย เด็กๆ ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เล่นไม่ได้ นั่งแต่บนทางเท้ามองน้ำเท่านั้น
หัวหน้าหมู่บ้าน Muhammad Syarif กล่าวว่า เขื่อนป้องกันคลื่นจำเป็นมาก เพื่อป้องกันภัยพิบัติ นี่คือทางแก้ไขที่ถูกต้อง เพราะชายฝั่งต้องการการจัดการคลื่น


นักวิทยาศาสตร์เตือนผลกระทบ
แม้โครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่น แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศเตือนว่าเขื่อนป้องกันคลื่นอาจสร้างปัญหาใหม่ได้
Melanie Bishop ศาสตราจารย์จาก Macquarie University ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า เขื่อนเหล่านี้มาพร้อมกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สูงมาก การก่อสร้างทำให้สูญเสียที่อยู่อาศัยชายฝั่ง และขัดขวางการเคลื่อนไหวของทั้งสัตว์และมนุษย์ระหว่างบกและทะเล"
รายงานของสหประชาชาติในปี 2022 เตือนว่าเขื่อนป้องกันคลื่นเป็นเพียงการแก้ไขชั่วคราว และอาจทำให้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงยิ่งขึ้น
ทางเลือกอื่นน่าพิจารณา
Heri Andreas ผู้เชี่ยวชาญด้านการทรุดตัวของดินจาก Bandung Institute of Technology เสนอแนะว่า ทางแก้ที่น่าสนใจคือการสร้างเขื่อนเป็นบางส่วน หรือแบ่งเป็นช่วงๆ เขาเปรียบเทียบข้อเสนอปัจจุบันเสมือน ‘ใช้ปืนบาซูก้ามาไล่ยิงเป็ด’ หมายถึงความสิ้นเปลือง โดยไม่จำเป็น
นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าการใช้วิธีแก้ไขตามธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลนและแนวปะการัง จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่เขื่อนต้องปรับปรุงเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น สิ่งแวดล้อมธรรชาติเหล่านี้สามารถเติบโตในแนวตั้งและปรับตัวได้
อนาคตของโครงการ
แม้ว่าแหล่งเงินทุนยังไม่แน่นอน แต่ Prabowo ได้เรียกร้องการลงทุนจากประเทศในเอเชียและตะวันออกกลาง และได้เปิดหน่วยงานใหม่เพื่อดูแลโครงการนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดี Subianto กล่าวว่า ไม่รู้ว่าประธานาธิบดีคนไหนจะทำให้เสร็จ แต่เราจะเริ่มต้นมันได้