สมเด็จพระพันปีหลวง กับแนวคิดความยั่งยืน: พระราชจริยวัตรแห่งการพัฒนาที่สมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ

3 พ.ย. 2568 - 04:56

  • สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กับแนวคิด “Sustainability” รากฐานความยั่งยืนเพื่อพสกนิกรชาวไทยและธรรมชาติ

สมเด็จพระพันปีหลวง กับแนวคิดความยั่งยืน: พระราชจริยวัตรแห่งการพัฒนาที่สมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ

“ความยั่งยืน” หรือ Sustainability กลายเป็นเป้าหมายร่วมของมวลมนุษยชาติในปัจจุบัน ท่ามกลางการหาทางออกร่วมกันของนานาประเทศนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกที่ทรงวางรากฐานแนวคิดนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ปรากฏในพระราชกรณียกิจนานัปการของพระองค์ที่ไม่เพียงมุ่งสู่การพัฒนาประชาชนให้พ้นจากความยากจน หากแต่ยังทรงผสานความเจริญทางเศรษฐกิจเข้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กอปรกับสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น จนกลายเป็นต้นแบบของ “ความยั่งยืนแบบไทย” ที่โลกยกย่อง

her-majesty-the-queen-mother-and-the-concept-of-sustainability-SPACEBAR-Photo01.jpg

วิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืน

พระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “การพัฒนาใดๆ จะยั่งยืนได้ ต้องไม่ทำลายรากฐานชีวิตของคนและธรรมชาติ”

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า การช่วยเหลือประชาชนจะเกิดผลแท้จริงก็ต่อเมื่อประชาชน “พึ่งพาตนเองได้” และสามารถดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนั้น พระองค์จึงทรงวางแนวทางการพัฒนาที่มีลักษณะองค์รวม (Holistic development) ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

แนวพระราชดำริเหล่านี้ถูกหลอมรวมอยู่ในรากฐานของ “เศรษฐกิจพอเพียง” หลักปรัชญาในรัชกาลที่ 9 ซึ่งเน้นความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจิตวิญญาณของคำว่า Sustainability อย่างแท้จริง

her-majesty-the-queen-mother-and-the-concept-of-sustainability-SPACEBAR-Photo02.jpg

พลังแห่ง “ศิลปาชีพ” เศรษฐกิจยั่งยืนจากฐานรากด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น

หนึ่งในพระราชกรณียกิจที่เป็นรูปธรรม  คือทรงก่อตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์” เมื่อปี พ.ศ. 2519 ภายใต้แนวพระราชดำริที่ว่า “ให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ โดยไม่ต้องทำลายธรรมชาติ”

มูลนิธิศิลปาชีพจึงเป็นทั้งโรงเรียนฝึกอาชีพ และสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน พระองค์ทรงส่งเสริมให้ราษฎรในชนบทนำภูมิปัญญาพื้นบ้าน เช่น การทอผ้าไหม การปักผ้า การจักสาน การทำเครื่องเงิน หรือเครื่องปั้นดินเผา มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นในตลาด ทว่ายังคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยไว้อย่างครบถ้วน

ปัจจุบันมี ศูนย์ศิลปาชีพกว่า 141 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกภูมิภาค ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้ให้ครัวเรือนนับแสน แต่ยังช่วยหยุดวงจรการทำลายทรัพยากร เช่น การตัดไม้หรือการเกษตรเชิงเดี่ยว เพราะชาวบ้านมีอาชีพเสริมที่มั่นคงจากงานฝีมือแทน ผลลัพธ์คือ เศรษฐกิจหมุนเวียนแบบไทย (Thai Circular Economy) ที่ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างรู้คุณค่า และเปลี่ยน “ของเหลือ” ให้เป็น “ของมีค่า” ผ่านมรดกทางภูมิปัญญาและศิลปะ

her-majesty-the-queen-mother-and-the-concept-of-sustainability-SPACEBAR-Photo03.jpg

การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

พระองค์ทรงตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “ชีวิตของคน” กับ “สุขภาพของธรรมชาติ” ตั้งแต่ก่อนที่คำว่า “Climate Change” จะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พระราชกรณียกิจหลายประการจึงมุ่งสู่การฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาและป่าต้นน้ำ

ตัวอย่างโครงการสำคัญ

โครงการ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” พระราชดำริให้จัดที่ดินทำกินในเขตป่าต้นน้ำโดยไม่รุกล้ำป่า สร้างรูปแบบการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่าอย่างสมดุล ชุมชนสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟหรือพืชสมุนไพร ร่วมกับการปลูกไม้ยืนต้นพื้นถิ่น ทำให้เกิดระบบนิเวศฟื้นกลับมาสมบูรณ์

โครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและพืชพรรณ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าในถิ่นอาศัยเดิม อาทิ สมเสร็จ นกเงือก หรือสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อื่นๆ เพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ

โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำภาคเหนือและภาคใต้ ทรงเน้นให้ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจร่วมกัน เพื่อสร้างรายได้และปกป้องดินน้ำในเวลาเดียวกัน เป็นแนวทาง Agroforestry หรือเกษตรผสมผสานอย่างยั่งยืนในบริบทไทย

ผลลัพธ์ของโครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า แต่ยังช่วยให้ประชาชนเข้าใจคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง

her-majesty-the-queen-mother-and-the-concept-of-sustainability-SPACEBAR-Photo04.jpg

การสืบสานวัฒนธรรมไทย ความยั่งยืนทางจิตวิญญาณ

อีกด้านหนึ่งของความยั่งยืนที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญ คือ “วัฒนธรรม” พระองค์ทรงฟื้นฟู ศิลปะการทอผ้าไทย ซึ่งเกือบสูญหายไปในหลายท้องถิ่น ให้กลับมาเป็นที่ภาคภูมิของชาติ โดยเฉพาะผ้าไหมไทย ผ้าฝ้ายพื้นเมือง และลวดลายดั้งเดิมของแต่ละภูมิภาค

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (Queen Sirikit Museum of Textiles) ภายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมผ้าไทยในระดับนานาชาติ

“ผ้าไทย” จึงกลายเป็นทั้งอัตลักษณ์และพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พระองค์ทรงทำให้ผ้าไหมไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความยั่งยืน เพราะทุกเส้นไหมเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้าน และทุกลวดลายสะท้อนจิตวิญญาณของชุมชนไทย

การพัฒนาที่สมดุลระหว่าง “คน–ชุมชน–สิ่งแวดล้อม”

สิ่งที่ทำให้แนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวงโดดเด่น คือการมอง “การพัฒนา” ไม่ใช่การนำสิ่งใหม่เข้าไปแทนของเดิม แต่เป็นการเสริมพลังให้คนในท้องถิ่นได้เติบโตจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว

พระองค์เคยมีพระราชดำรัสว่า “เราต้องรู้จักธรรมชาติ รู้จักความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น แล้วช่วยเขาในสิ่งที่เหมาะกับเขา”ประโยคนี้สะท้อนแนวคิด “Sustainability from within” ความยั่งยืนที่เกิดจากภายในจิตใจและความเข้าใจในบริบทของตนเองไม่ใช่การพัฒนาแบบยัดเยียดหรือเลียนแบบจากภายนอก

แนวทางนี้ทำให้หลายโครงการพัฒนาในพระราชดำริกลายเป็นแบบอย่างระดับนานาชาติ และได้รับการยกย่องจากองค์กรสิ่งแวดล้อมทั่วโลกว่าเป็น “รูปแบบการพัฒนาที่มีหัวใจมนุษย์เป็นศูนย์กลาง”

her-majesty-the-queen-mother-and-the-concept-of-sustainability-SPACEBAR-Photo05.jpg

สายธารแห่งน้ำพระราชหฤทัย เชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง ในการริเริ่มและก่อตั้งมูลนิธิและโครงการต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงงาน ล้วนสอดคล้องกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติในหลายมิติ อาทิ

ขจัดความยากจน

พระองค์ทรงเริ่มจากการวางรากฐานการพัฒนาคนเพื่อลดความยากจน ซึ่งเป็นหัวใจของ SDG 1: ขจัดความยากจน (No Poverty) โดยมุ่งให้ประชาชน “พึ่งพาตนเองได้” ผ่านการส่งเสริมอาชีพและการฝึกฝนทักษะในท้องถิ่น โครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์ที่พระองค์ทรงริเริ่มจึงเป็นแบบอย่างของเศรษฐกิจฐานราก ที่ให้ชาวบ้านสร้างรายได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยไม่ต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ความยากจนจึงถูกขจัดด้วยการเสริมศักยภาพและศักดิ์ศรีของประชาชน มิใช่เพียงการให้ความช่วยเหลือชั่วคราว

ขจัดความหิวโหย

โครงการ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” คือพระราชดำริที่สะท้อนถึง SDG 2: ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) อย่างชัดเจน พระองค์ทรงวางแนวทางให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสมดุล โดยให้ปลูกพืชเศรษฐกิจควบคู่กับไม้ยืนต้นในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งผลให้ราษฎรมีอาหารเพียงพอและมีรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์

ความเท่าเทียมทางเพศ

ในด้านสังคม พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับบทบาทของสตรีเป็นอย่างยิ่ง โครงการศิลปาชีพจำนวนมากเปิดโอกาสให้ผู้หญิงในชนบทได้ใช้ความสามารถด้านหัตถศิลป์ เช่น การทอผ้า ปักผ้า และจักสาน กลายเป็นอาชีพที่มั่นคงและได้รับการยอมรับในสังคม นี่คือแบบอย่างของ SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality) ที่เกิดจากการยกระดับศักดิ์ศรีและคุณค่าของผู้หญิง ผ่านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่พวกเธอเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในมิติทางเศรษฐกิจ โครงการศิลปาชีพยังสะท้อนถึง SDG 8: การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Decent Work and Economic Growth) เพราะเป็นการสร้างงานที่มีคุณค่า มีรายได้มั่นคง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พระองค์ทรงเน้นให้ประชาชนประกอบอาชีพด้วยความภาคภูมิใจในรากเหง้า นำไปสู่เศรษฐกิจพึ่งพาตนเองที่มั่นคงและยั่งยืน

อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน

พระราชดำริด้านการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การออกแบบผ้าไหมร่วมสมัย การสร้างผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรม เป็นการผสานอดีตกับปัจจุบันอย่างงดงาม ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 9: อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน (Industry, Innovation and Infrastructure) พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า “นวัตกรรม” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเทคโนโลยีเท่านั้น แต่อาจเริ่มจาก “หัวใจที่เห็นคุณค่าในสิ่งเดิม”

การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน

แนวพระราชดำริของพระองค์ยังเชื่อมโยงกับ SDG 12: การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน (Responsible Consumption and Production) โดยทรงส่งเสริมแนวคิด “ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า” และ “เศรษฐกิจหมุนเวียนแบบไทย” ผ่านการนำของเหลือจากธรรมชาติมาแปรรูปเป็นของมีค่า เกิดเป็นวงจรเศรษฐกิจฐานรากที่เคารพสิ่งแวดล้อม

การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การที่พระองค์ทรงริเริ่มโครงการอนุรักษ์ป่าและฟื้นฟูต้นน้ำทั้งภาคเหนือและภาคใต้ เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ก่อนที่คำว่า Climate Change จะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย สอดคล้องกับ SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ซึ่งพระราชกรณียกิจเหล่านี้เป็นต้นแบบของแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับโลก

เมืองและชุมชนยั่งยืน

แนวพระราชดำริของพระองค์ยังสะท้อนถึง SDG 11: เมืองและชุมชนยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities) ด้วยการสร้างชุมชนเข้มแข็งจากฐานราก ที่คนสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล

ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ พระราชกรณียกิจหลายด้าน เช่น โครงการพัฒนาอาชีพ การอนุรักษ์ทรัพยากร และการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ล้วนเป็นผลของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 17: ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnerships for the Goals) ที่เน้นการสร้างเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน

นับว่าแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง มิได้เป็นเพียงการพัฒนาที่มองเห็นได้ในรูปธรรมเท่านั้น หากยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความยั่งยืนให้กับประชาชนทุกระดับ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า ความยั่งยืนที่แท้จริงเริ่มจากภายในจิตใจของคน เมื่อคนรู้จักคุณค่าของตนเอง ชุมชนก็จะมั่นคง และธรรมชาติก็จะได้รับการปกป้องอย่างยั่งยืน นี่คือหัวใจของแนวคิด “Sustainability from within” หรือความยั่งยืนจากภายในที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่วันนี้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาไทยในศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงบันดาลใจให้ทั่วโลกยกย่องพระองค์ในฐานะ “ต้นแบบแห่งความยั่งยืน” อย่างแท้จริง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์