ไม่น่าเชื่อว่า สองพรรคการเมืองใหญ่ในอดีต ‘เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์’ ที่เคยห้ำหั่นกันในสนามเลือกตั้งมาก่อน วันนี้จะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน คือ ไม่ว่าจะยกเครื่อง หรือรีโนเวทพรรคใหม่ แต่ก็อยู่ในภาวะสู้เพื่อประคองตัว หนีการตกต่ำด้วยกันทั้งคู่
ไม่ได้สู้เพื่อเอาชัยชิงความเป็นที่หนึ่งเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนอีกต่อไป
วันนี้ต่อให้คนเพื่อไทย ออกมาชื่นชม ยกยอปอปั้น อวยกันเองถึงการจัดทัพใหม่หยาดเยิ้มหยดย้อยอย่างไร แต่คงเป็นได้แค่มธุรสวาจา พูดปลุกปลอบกันเองเสียมากกว่า เพราะมองอย่างไร หลังยกเครื่องก็ยังเป็นพรรคตระกูล ‘ชินวัตร’ อยู่ดี
ไล่ไปตั้งแต่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ไปถึงตำแหน่งอื่นๆ รวม 29 คน ล้วนแต่เป็น ‘นอมินี’ คนในเครือข่ายบ้านจันทร์ส่องหล้าทั้งสิ้น
ส่วนตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่เดิมนักวิเคราะห์มองจะเข้ามาแชร์ความเป็นเจ้าของพรรคร่วมแบบหารสอง หรือการเมืองคนละครึ่ง สุดท้ายเป็นได้แค่หุ้นลม อยู่แบบลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
ในขณะที่ตัวเลขสส. 200 เสียง ที่กอดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกของการประกาศยกเครื่องจากปาก สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส่งผ่านมาถึง ‘จุลพันธ์-ประเสริฐ’ น่าจะเป็นการพูดคำโต ผายลมทางปากเสียมากกว่า
เพราะในชีวิตจริงทางการเมืองต่อจากนี้ หลังการกระชับอำนาจของพรรคเถ้าแก่แบบเต็มรูป ยังไม่รู้จะมีคนเก่าอีกกี่กลุ่มที่ต้อง ‘จรม้า’ ออกจากพรรคไป ลำพังที่พากันล่วงหน้าไปก่อน ก็ทำให้เหลือไม่เท่าเดิมแล้ว
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน เที่ยวที่แล้วเพื่อไทยเป็นแชมป์เลือกตั้ง กวาดมาได้ 73 ที่นั่ง จากทั้งหมด 133 ที่นั่ง ในภาวะที่ไร้กระแส แถมตกเป็นจำเลย ‘ขายชาติ’ ก่อสงครามชายแดน จนชาวบ้านเรือนแสนต้องอพยพหนีภัย
โพลอีสานที่ออกมาสดๆ ร้อนๆ ก็หล่นไปอยู่อันดับสาม 16.85%
ต่อให้สู้ถวายหัวอย่างไร การจะให้เพื่อไทยได้ 73 เสียงเท่าเดิมในภาคอีสาน ย่อมยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
ดังนั้น เพื่อไทยในสถานการณ์นี้ จึงสู้เพื่อ‘ประคองตัว’ ขอแค่เป็นพรรคขนาดกลาง 50-60 เสียง ก็ถือว่าหรูสุดๆ แล้ว อย่าฝันไกลถึง 200 เสียง หรือรักษาไม่ให้เป็นพรรคต่ำร้อยเลย เพราะดูอย่างไรก็ไม่เกินร้อยอยู่แล้ว
เลือกตั้งเที่ยวหน้า เพื่อไทยจึงขอแค่เป็นตัวแปรหรือพรรคอะไหล่ ที่รอเสียบเข้าร่วมรัฐบาลกับทุกสีมากกว่า
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะได้ฤกษ์เปิดแคมเปญพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ก็ยังแค่เชิญชวนคนเข้าร่วมทีมสู้ศึกเลือกตั้ง ถือว่าออกตัวช้าไปด้วยซ้ำ หากเทียบกับการออกตัวแรงในช่วงการกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ล่าสุดบ้านใหญ่ จ.ตรัง ‘โกหนอ’ สมชาย โล่สถาพรพิพิธ ยกคณะหนีไปอีกกลุ่ม
การจัดทัพประชาธิปัตย์เที่ยวนี้ นอกจากตัว ‘มาร์ค-อภิสิทธิ์’ ที่โดดเด่นเป็นความหวังของหมู่บ้านแล้ว ที่เหลือมีหน้าใหม่ไม่กี่คนพอนำมาใส่ตู้โชว์ได้บ้าง ส่วนคนอื่นๆ ล้วนหน้าเดิมที่แค่นำมาสลับที่ยืน โดยเฉพาะการวางตัวแม่ทัพแต่ละพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทุกพื้นที่ไม่มีพลังพอเป็นแรงส่งให้พรรคได้
ดังนั้น พรรคการเมืองที่ต้องอาศัยกระแสอย่างประชาธิปัตย์ คงต้องใช้เวลา‘ฟูมฟัก’อีกนาน ลำพัง 4-5 เดือนต่อจากนี้คงไม่ทัน ยิ่งสส.เขตกลุ่มบ้านใหญ่ทยอยตีจาก เหลือไว้ทำยาเพียง 3 เขต จากทั้งหมด 22 เขต จึงนับเป็นโจทย์ยากของอภิสิทธิ์ หากจะประคองจำนวนเสียงสส.ประชาธิปัตย์เอาไว้เท่าเดิม
มีทางเดียวที่ประชาธิปัตย์ จะรักษาจำนวนที่นั่งเท่าเดิมเอาไว้ได้ ต้องกลับมาปักธงในสนามกทม.ให้ได้เกิน 10 เขต และกวาดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ทั่วประเทศเพิ่มจาก 9 แสน ให้ได้‘ไม่ต่ำกว่า 3 ล้าน’ขึ้นไป ซึ่งคงไม่ง่ายอีกเหมือนกัน
วันนี้ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย จึงอยู่ในหัวอกเดียวกัน สู้เพื่อหนีความตกต่ำเท่าที่จะทำได้


