‘นักการเมืองก็เหมือนปลา ที่ต้องไปหาบ่อน้ำที่ดีที่สุด..’
‘เสนาะ เทียนทอง’ พูดไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในยุคที่มีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น และใช้วิธีสร้างพรรคทางลัด ด้วยการตกปลาในบ่อเพื่อน ใช้อำนาจทุน ไล่ช้อนซื้อสส.ประเภทผูกขาด มีเลือกตั้งทีไรได้เข้าสภาทุกครั้งให้เข้ามาอยู่ในพรรค
ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างคน ไม่ต้องออกแรงไปทำพื้นที่ ใช้วิธีต่อตา ทาบกิ่งทางการเมืองเอา เป็นประชาธิปไตยแบบโตวัย ให้ผลเร็ว ตั้งขึ้นปีแรกหลังเลือกตั้งก็เป็นพรรคขนาดใหญ่ได้เลย
คำว่าปลาเลือกน้ำกับนักการเมือง จึงเป็นวลีเด็ดที่ถูกพูดถึงน้องๆ คำว่า เป็นฝ่ายค้านแล้ว‘อดอยากปากแห้ง’
หยิบเอาคำพูดเก่าๆ ข้างต้นมาเล่า เพราะเข้ากับบรรยากาศการเมืองในห้วงเวลานี้พอดี ที่ถนนเกือบจะทุกสายของคนการเมือง ต่างมุ่งหน้าสู่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งน่าจะเนื้อหอมที่สุดในตอนนี้ แม้จะก่อตั้งมาได้เพียง 17 ปีก็ตาม
ความจริงการย้ายพรรคของนักการเมือง ย่อมมีที่มาจากหลายเหตุผลด้วยกัน ทั้งการไปแสวงหาน้ำใหม่อย่างที่ผู้เฒ่าในแวดวงการเมืองว่าไว้ แต่บางทีก็เป็นเรื่องของ‘แรงบีบคั้น’ แบบคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก จึงต้องจรม้าไปหาบ้านหลังใหม่
หรือบ้านหลังที่อาศัยอยู่เดิม อาจจะอยู่ในสภาพผุพัง หลังคารั่ว อยู่ต่ออีกไม่ได้
เอาเป็นว่า การเปลี่ยนพรรคของนักการเมือง ที่นักรัฐศาสตร์บางคนใช้คำหรูหรา หมาเห่าว่า เป็นการ‘เคลื่อนย้ายประชากรทางการเมือง’ นั้น รวมความแล้วมันคือ การไปหาอนาคตที่ดีทางการเมืองให้ตัวเอง
ดังนั้น ที่นักการเมืองพากัน‘ตบเท้า’ เข้าพรรคภูมิใจไทยเวลานี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่แหกข้อตกลง 5 ข้อ แบบวิถีโค้ง ระหว่างภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนเท่านั้น แต่มันเป็นการจัดทัพรับเลือกตั้งใหม่ ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นาทีนี้ทุกพรรคการเมืองต่างเตรียมการเข้าสู่สนามเลือกตั้งกันทั้งหมด ไม่เฉพาะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พากันกระโดดเรือผุๆ หนีไปขึ้นเรือภูมิใจไทยเท่านั้น
ในช่วงบ่ายอ่อนวันอังคารที่ 16 กันยายน ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทยการมาของ ‘คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ ก็เป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่งในทางการเมืองที่ต้องบันทึกไว้ เพราะมาในวันที่ผู้นำจิตวิญญาณ สูญสิ้นอิสรภาพ ส่วนลูกสาวที่มี DNA ทั้งพ่อและแม่อยู่ในตัว ก็อยู่ในสภาพบอบช้ำสุดๆ
การมาปรากฎตัวที่พรรคเพื่อไทยของคุณหญิงอ้อ พร้อมกับคำพูดสั้นๆ แค่ว่า
‘สู้ๆ กันนะคะ’
ก็ทำเอาสส.เพื่อไทย ที่นั่งประชุมกันอยู่หัวใจพองโต ลุกขึ้นปรบมือเสียงดังยาว เหมือนอยากจะให้ได้ยินไปถึงเรือนจำคลองเปรมอย่างนั้น
เพราะในช่วงแห่งอารมณ์ว้าเหว่ของคนเพื่อไทย เพียงคำพูดจากปากของ แพทองธาร ชินวัตร ที่ประกาศจะเดินหน้านำพาพรรคเพื่อไทยไปต่อนั้น ยัง ‘ไม่มีน้ำหนัก’ พอที่จะทำให้เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้
ดังนั้น นางพญาที่ดำรงตนอยู่หลังม่าน อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้เป็นสามีมาตลอดโดยเฉพาะในทางการเมือง แต่ไม่เคยออกมาแสดงตัวตนให้เห็น ยกเว้นในสถานการณ์วิกฤติจริงๆ เท่านั้น
การขยับตัวในแต่ละครั้งของคุณหญิงอ้อ จึงมีความหมายอย่างมาก
ในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังล่องลอยเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างแดน ได้เห็นภาพคุณหญิงอ้อ เดินเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ไปพบกับอดีตรัฐบุรุษผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นไม่นานทักษิณ ได้กลับมากราบแผ่นดิน และพบปะกับใครต่อใคร รวมทั้ง ขุนทหารน้อยใหญ่ ในงานศพมารดาพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หนึ่งในสามป.ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
การปรากฎตัวเที่ยวนี้ของคุณหญิงอ้อ พร้อมกับคำพูดสั้นๆ แต่ทรงพลัง จึงไม่ใช่แค่การห้ามเลือดพรรคเพื่อไทย ที่กำลังไหลออก แต่เป็นการส่งสัญญาณลงมา ‘บัญชาการทัพ’ เอง ในช่วงรอการกลับมาของแม่ทัพสีแดง
อย่างน้อยก็คงช่วยประคองเรือสีแดงลำนี้เข้าหลบเกาะ รอให้ผ่านฤดูมรสุม แล้วค่อยกางใบออกสูทะเลกว้างต่อ แม้จะไม่สามารถรักษาความเป็นพรรคใหญ่ขนาดร้อยเสียงไว้ได้ก็ตาม
แต่ก็พอเป็นคำตอบได้ว่า วันนี้ตระกูลชินวัตร ยังจะยืนหยัดอยู่บนถนนการเมืองต่อไป.