พรรคเพื่อไทย ในวันที่รอล่มสลาย

15 ก.ย. 2568 - 03:35

  • การชนะเลือกตั้งซ่อมเชียงรายของพรรคเพื่อไทยยังไม่ใช่คำตอบ

  • การพลิกชนะต้องถามเบื้องหลังบริหารจัดการของ ‘ยุทธ์-ตู้เย็น’

  • เวทีตัดสินคือ การเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

พรรคเพื่อไทย ในวันที่รอล่มสลาย

วันนี้แม้พรรคเพื่อไทย จะได้รับชัยชนะเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 7 เชียงราย ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า 4 หมื่นคะแนน ทิ้งห่างคู่แข่งผู้สมัครพรรคสีส้ม แบบไม่เห็นฝุ่น ที่ได้มาไม่ถึง 2 หมื่นคะแนน

แต่คงไม่ใช่บทสรุปว่า กระแสพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคเหนือยัง ‘เหนียวแน่น’ หรือความ ‘เห็นอกเห็นใจ’ จาก ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณ ที่ต้องกลับเข้าคุกคนเลยเทคะแนนให้ เพราะเป็นการเลือกตั้งซ่อมที่มีหลายอย่างเป็นส่วนประกอบ ที่ทำให้เกิดการแพ้ชนะกันขึ้น

งานนี้คนชื่อ  ยงยุทธ ติยะไพรัช หรือ ‘ยุทธ-ตู้เย็น’ บ้านใหญ่แม่จัน น่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุดว่ามีเบื้องหลังการถ่ายทำอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการผสมสองสี ‘แดง-น้ำเงิน’ เข้าด้วยกัน

ส่วนสีส้ม คงปฏิเสธไม่ออกว่าความพ่ายแพ้ส่วนหนึ่ง เป็นผลกระทบจากการโหวตนายกฯ สีน้ำเงิน

แต่กล่าวสำหรับเพื่อไทย ในสถานการณ์นี้แม้คนในพรรคจะยังปากแข็งว่า ‘ไม่มีเลือดไหล’  พรรคจะเดินหน้าทำงานการเมืองต่อ โดยกอดฐานเดิม 10 ล้านเสียงเอาไว้ แถมยังมีคะแนนเห็นใจเพิ่มขึ้นจากการถูกกระทำ ถูกรังแก

กรณีของสองพ่อลูก คนหนึ่งถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ อีกคนตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

หากประเมินจากสองเหตุผลนี้ คงมองแบบตื้นเขินเข้าข้างตัวเองมากไป หรือไม่ก็ปากกับใจไม่ตรงกัน ต้องการ ‘ปลุกปลอบ’ ให้กำลังใจกันเอง หวังว่ากระแสจะตีกลับมากกว่า เหมือนที่บางคนในเพื่อไทยสรุปไว้คนไทยชอบเชียร์มวยรอง

แต่ลืมไปว่า ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ตลอดสองปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของ ทักษิณ ชินวัตร และการเข้ามาบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทย ที่มีนายกรัฐมนตรีถึงสองคน คือ เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร นั้น

ประเทศไทยได้อะไรบ้าง นอกจากความเสียหายที่ให้โอกาสกับพรรคเพื่อไทยและสองพ่อลูก

โจทย์ใหญ่ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญต่อจากนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะมีการเลือกตั้งในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า คือคนที่จะมาเป็นแม่ทัพสู้ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะแพทองธาร เป็นเหมือนม้าพิการที่เอามานำทัพอีกไม่ได้

เป็นได้แค่หัวหน้าเชิงสัญลักษณ์ เอามาขายในบัญชีแคนดิเดทนายกฯ ไม่ได้เพราะ ‘ขาดคุณสมบัติ’

ส่วน 3 ทหารเสือ ที่จะนำมาเป็นจุดขายหรือใส่ชื่อไว้เป็นพระอันดับในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี ยังมองหาใครไม่เห็น ตามข่าวจะไปดึง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กลับมา เจ้าตัวยังหลงกลิ่นการเมืองท้องถิ่นอยากเป็นผู้ว่ากทม.ต่ออีกสมัย

เหลือแต่คนในตระกูลชินวัตร แถว 2 แถว 3 หรือไม่ก็ ‘ปั้นเขย’ คนใดคนหนึ่งขึ้นมาขัดตาทัพไปพลางก่อน

เพราะด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ การต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งหนนี้ คงแค่หวังประคองรักษาพรรคเอาไว้เท่านั้น หากโชคดีได้สส.เข้าสภา 50-60 เสียง เหมือนที่คนเขาปรามาส เผื่อเป็น‘พรรคอะไหล่’ ได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคสีส้มหรือสีน้ำเงิน ก็ยังดีกว่าแห้งตายอยู่ในซีกฝ่ายค้าน

อย่างน้อยๆ ถ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลได้ พันธนาการทางกฎหมายที่เป็นภาระรุงรังในชีวิตของสองพ่อลูก รวมทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รอกลับมาสาดน้ำสงกรานต์ ‘ป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง’  ที่รอเก้ออยู่ ก็อาจช่วยสานฝันให้เป็นจริงได้

เอาเป็นว่า งานนี้เพื่อไทยที่หวังจะรักษาความเป็นพรรคใหญ่ไม่ให้ต่ำร้อยเสียงนั้น คงลืมไปได้เลย

สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมาถึง เกจิการเมืองหลายสำนักให้น้ำหนักค่อนไปทางเดียวกันว่า ทันทีที่มีการประกาศยุบสภา จะเกิดปรากฎการณ์ผึ้งแตกรังขึ้นทันที โดยเฉพาะในเพื่อไทย จะเหลือคนอยู่เพียงสองกลุ่มเท่านั้น คือ ‘กลุ่มที่ภักดี’  กับ ‘กลุ่มที่ไม่มีที่ไป’  และจะไม่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ เจนใหม่ทางการเมืองเข้ามาเติมในพ.ศ.นี้

พรุ่งนี้ของพรรคเพื่อไทย หรือชื่อเดิมไทยรักไทย ที่ถือฤกษ์ก่อกำเนิดขึ้นในวันเดียวกับ ‘การปฏิวัติฝรั่งเศส’  14 กรกฎาคม ปี 2541 หลังผ่านความรุ่งโรจน์มานานกว่าสองทศวรรษ ก็จะถึงคราวร่วงโรยและล่มสลายลงในที่สุด

พร้อมกับการรูดม่านปิดฉากการเมืองตระกูลชินวัตรลง เอวัง ปริโยสาเน.

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์