แม้จะยังมีความกำกวมอยู่บ้าง เรื่องการทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ให้ทำ 3 ครั้ง หรือ 2 ครั้งก็ได้ โดยรวมครั้งที่ 1-2 เข้าด้วยกัน แต่มีคำว่า ต้องสอบถามประชาชนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
จึงยังทำให้เป็นที่ถกเถียงกันว่า ต้องมีครั้งที่ 1 สอบถามประชาชนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเสียก่อนหรือไม่ เพราะหากรวบสองครั้งแรกเข้าด้วยกัน จะมีปัญหาการนำไปออกเสียงประชามติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 อีกทั้งบทบัญญัติในหมวด 15 ก็ไม่ได้มีคำว่า สสร.อยู่ด้วย
ประเด็นที่ว่านี้ เห็นด้วยเห็นต่างอย่างไร ผู้รู้คงต้องไปหาช่องออกกันเอาเอง แต่อีกปมใหญ่ที่ทำให้คอการเมืองเกิดนะจังงัง คือ ศาลไม่อนุญาตให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ดับฝันบางพรรคที่ต้องการให้มี สสร.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
แต่เอาล่ะ ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติดังกล่าวออกมา พรรคประชาชน ได้ออกมาแถลงสรุปในทีนทีว่า ศาลให้ถามสองคำถามไปพร้อมกันในคราวเดียว คือ 1.เห็นด้วยหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 2.เห็นด้วยหรือไม่กับวิธีการและเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามร่างแก้ไขที่รัฐสภาเห็นชอบ
พร้อมให้เดินหน้าทันที โดยไม่ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารโดยตรง และเร่งให้แต่ละพรรคยื่นร่างแก้ไขของตัวเองโดยเร็ว เพื่อให้ทำประชามติรอบแรกได้ทันพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังครม.ชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่
พรรคส้ม ให้ภูมิใจไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล เร่งยื่นร่างแก้ไขของตัวเองภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาไปพร้อมกับอีก 3 ร่าง ที่บรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาไปก่อนหน้านี้ คือ ร่างพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และร่างที่เสนอโดยภาคประชาชน
ดูเหมือนพรรคส้ม ยังหายใจเข้าออกอยู่สองเรื่องเท่านั้น คือ แก้รัฐธรรมนูญ กับยุบสภา
โดยลืมไปว่า ร่างแก้ไขที่คาอยู่ในสภาทั้ง 3 ร่างนั้น มีเนื้อหาที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่ทุกร่างที่อยู่ในสภาล้วนให้มี สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าจะต้องถอนออกมาก่อนหรือถูกตีตกไปด้วยผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือเปล่า
ถัดมาการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปใหม่ ต่อให้ตกผลึกเห็นพ้องร่วมกันทั้งวิธีการ เนื้อหา รวมถึงที่มา สสร.ที่อาจมาแบบวิถีโค้ง คือ เลือกตั้งทางอ้อมเหมือนการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ตาม
แต่กว่าจะได้เลือก สสร.ทางอ้อม เพื่อมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เป็นหน้าที่ของสภาชุดต่อไป
เพราะจะรู้ผลประชามติว่า ประชาชนเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็ในวันเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งไม่รู้อีกเหมือนกันว่าพรรคใด สีไหน จะได้เข้าสภามากันกี่เสียง
ที่พรรคส้มเร่งวัน เร่งคืน ให้แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น คงต้องการให้ทุกอย่างจบภายใน 4 เดือน จากนั้น ก็ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ไปวัดดวงพร้อมกันสองเด้งในวันเลือกตั้ง
เด้งแรก ผลแพ้ชนะเลือกตั้งสส. เด้งที่สอง ประชาชนจะเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็แฟร์ดีที่ให้ประชาชนได้ตัดสินใจไปพร้อมกัน รักชอบพรรคไหนก็กาพรรคนั้น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็กากันตามใจชอบ
บรรลุเป้าหมายพรรคส้ม ที่ต้องการให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่พร้อมกับทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญในวันเดียวกัน ส่วนจะได้ดั่งใจหวังหรือไม่ ถ้ามั่นใจก็ไม่ต้องรอช้า
แต่อย่าลืมว่าการเลือก สสร.ทางอ้อม มีความพิสดารน้อยๆ การเลือกสว.ที่ผ่านมา แถมอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่รู้อยู่ในอารมณ์เดียวกับพรรคส้มหรือไม่
มติศาลรัฐรรมนูญที่ออกมา นอกจากจะดับฝันพรรคส้ม ไม่ให้มี สสร.จากการเลือกตั้งโดยตรงแล้ว ยังต้องลุ้นด่านประชามติว่าจะเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?!