ตกลงครม.เขากระโดง จะอยู่สั้นหรืออยู่ยาวยังเป็นที่กังขาของคอการเมือง
แม้สองผู้นำ อนุทิน ชาญวีรกูล, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คนแรกเป็นนายกรัฐมนตรี อีกคนเป็นประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำจิตวิญญาณพรรคประชาชน ให้คำมั่นไว้ตรงกัน ‘ไม่มีวันที่ 221’
นั่นคือ ทุกอย่างต้องจบลงภายในกรอบเวลา 4 เดือน หรือ 120 วัน รัฐบาลต้องยุบสภาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ตามที่ได้ให้สัจจะวาจากันไว้
ทว่าดูจากการขยับตัวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่จะนำไปสู่การออกเสียงประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้ง ที่ไปอย่างช้าๆ มีเพียง ‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’ เดี่ยวมือหนึ่งจากพรรคประชาชนเพียงคนเดียว ที่ขยันออกมาให้ข่าวรายวัน และมี ชูศักดิ์ ศิรินิล จากพรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายค้านคนละฝา ออกมาร่วมแจมบ้าง
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย หลังตั้งคณะทำงานเสร็จ ก็ไม่ปรากฎเป็นข่าวอีกเลยว่าทำอะไรไปบ้าง มีเพียงตัวแทนพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และตัวแทนจากสว.ปีกที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่แล้วที่ร่วมกันขมีขมัน
รอดูสัปดาห์นี้ทั้งสามพรรค ‘ส้ม -แดง-น้ำเงิน+สว.’ จะเคาะร่างแก้ไข มาตรา 256 ออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
เบื้องต้นฟังมาว่า ที่ภูมิใจไทย ไม่ยอมขยับอะไรมาก เพราะตามกติกาไม่สามารถเสนอร่างฉบับของตัวเองได้ เนื่องจากมีเสียง สส.ไม่ถึง 1 ใน 5 หรือจำนวน 100 เสียง ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงให้ทั้งสองพรรคออกแบบและ ‘จัดทำร่าง’ ของตัวเองเสนอต่อรัฐสภา
สุดท้ายจะใช้วิธี ‘รวมร่าง’ ให้เป็นร่างของรัฐสภาที่ร่วมกันเสนอ ส่วนจะใช้สูตรไหนเป็นโมเดลที่มาสสร.ซึ่งมีทั้งข้อเสนอของพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และสูตร สสร. ปี 2540 ค่อยไปใช้เวทีสภาในวาระ 2 แปรญัตติหาข้อสรุปกันเอาเอง
โดยสูตรเพื่อไทย ไม่ซับซ้อนให้ สสร.มีที่มาจากสองทาง คือ ทางแรกให้แต่ละจังหวัดเลือกกันเอง รวม 200 คน ส่งให้สภาเลือกเหลือ 100 คน ทางที่สอง ให้ตัวแทนองค์กรต่างๆ เลือกกันเอง 30-40 คน รวมเป็น สสร.ราว 140 คน
ในขณะที่สูตรพรรคประชาชน มีที่มาจากสองทางเช่นกันแต่ ‘ซับซ้อน’ กว่า คือทางแรก ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง เปิดให้กลุ่มต่างๆ ส่งผู้ที่จะเข้ามาเป็นสสร.แบบเดียวกับ สส.บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ไม่เกิน 70 รายชื่อ และให้สภาเลือกเอา 35 รายชื่อ เป็นคณะยกร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนทางที่สอง มาจากการเลือกกันเองของแต่ละจังหวัด โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน 200 คน ตามสัดส่วนประชากรแต่ละจังหวัด และให้สภาเลือกเหลือ 100 คน ทำหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษา สสร.
สุดท้ายยึดตามสสร.ปี 2540 ที่ให้แต่ละจังหวัดเลือกกันเอง จังหวัดละไม่เกิน 10 คน แล้วส่งมาให้สภาเลือกเอาจังหวัดละ 1 คน และอีก 23 คน มาจากผู้เชี่ยวชาญสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอดีตข้าราชการ
ทั้งหมดที่ว่ามา มีคนเห็นว่าแนวทางของพรรคประชาชน มีความหมิ่นเหม่ต่อการขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ทีนี้เมื่อแบ่งหน้าที่กันแล้ว รัฐบาลจะเป็นฝ่ายตั้งคำถามแรกไว้รอ คือ เห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และให้รัฐสภาทำคำถามข้อที่สอง คือ เห็นด้วยกับเนื้อหาและวิธีการในร่างแก้ไข มาตรา 256/1 หรือไม่
หากทุกอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรสะดุดระหว่างทางเสียก่อน การยุบสภา ก็จะเป็นไปตามนัดหมายที่ได้กางปฏิทินล่วงหน้าไว้รอ นั่นคือ ถ้ารัฐบาลแถลงนโยบายในวันที่ 29- 30 กันยายนนี้ ก็จะครบ 4 เดือน ในวันที่ 29-30 มกราคม 2569
การเลือกตั้งใหม่ก็จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569
นี่ว่ากันเต็มแม็ค ก็จะได้ไทม์ไลน์ออกมาตามนี้ ส่วนการทำประชามติจะได้ทั้งสองคำถาม หรือแค่คำถามเดียว ขึ้นอยู่กับรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/1 ได้ทันภายในกรอบเวลาข้างต้นหรือไม่
ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีข่าวสะพัดว่า รัฐบาลเขากระโดง อาจเล่นเกมเร็ว ชิงยุบสภาก่อนไม่เกิน 3 เดือน เพื่อลอยแพการแก้รัฐธรรมนูญ และชิงความได้เปรียบ ไม่ให้คู่แข่งทั้งสีส้ม สีแดง ได้ตั้งหลัก โดยเฉพาะกันไม่ให้ วีระบุรุษประชาธิปไตย ของเพื่อไทย ออกจากคุกมาช่วยหาเสียงได้ทันนั้น
ข่าวดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า น่าจะลอยมาตามลมมากกว่า เพราะ‘ของจริง’ รัฐบาลเขากระโดง อยากอยู่ไปยาวๆ ดูจากการขนข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ เข้าห้องทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคน ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ส่วนจะอยู่กันแบบสั้นหรือยาว ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางการเมืองจะพัดพาไป แต่ที่แน่ๆ จะไม่มีการบิดพริ้วเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยจะใช้วิธีรวมร่างให้เป็นร่างของสภา ว่ากันเองตามสะดวกจะเอาแบบท่ายาก ท่าง่ายก็ว่ากันไปได้เลย.