ที่ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 นอกจากจะมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ และนายทหารระดับสูงของทุกเหล่าทัพเข้าร่วม ยังมีว่าที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯล่าสุด เข้าร่วมประชุมด้วย
การประชุมซึ่งยังเป็นนัดสุดท้ายของผู้บัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ,ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล, ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.ต.จิรพล ว่องวิทย์ โดยที่ประชุมหยิบยกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นมารืออย่างเคร่งเครียด ก่อนจะมีมติเห็นชอบมาตรการ และแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญ 3 มาตรการ คือ ปิด สร้าง สู้
‘ผบ.อ๊อป’ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี แถลงแนวทางปฏิบัติของทั้ง 3 มาตรการว่า
“มาตรการแรก ปิด คือ ให้ยังคงปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือ เมื่อมีข้อมูลประจักษ์ว่า กัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป”
“มาตรการที่สอง ที่ประชุมเห็นว่า ปัจจุบันกัมพูชายังถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงมีมติให้จัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเห็นควรให้สร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว สำหรับในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้มีการสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว”
“มาตรการที่สาม ที่ประชุมสรุปเห็นชอบแนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย โดยมีข้อสรุปดังนี้ คือ อนุญาตให้กองทัพสามารถดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล : ROE - Rules of Engagement ได้ทันที เมื่อพบการกระทำที่เข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ : Hostile Act หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ : Hostile Intent มาตรการนี้ให้รวมโดยเฉพาะถึง กรณีพบการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งตามกฎการใช้กำลัง สามารถใช้เป็นเหตุให้เริ่มการป้องกันตนเองได้ โดยได้วางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ”
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้นำเสนอแนวทางการปฏิบัติโดยละเอียดไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
พล.อ.ทรงวิทย์ ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า พื้นที่แนวชายแดนทั้งหมด เป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก และที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบให้ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการควบคุมแนวชายแดน อันรวมถึงปฏิบัติการทางทหาร และการเปิด-ปิดด่าน รวมถึงจุดผ่อนปรนทุกจุดด้วย
ทั้ง 3 มาตรการ และการย้ำถึงมติ สมช.เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน จึงเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ว่าที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และนายทหารระดับสูงของทุกเหล่า ที่เข้าร่วมประชุม และเป็นสัญญาณที่ส่งไปถึงรัฐบาลใหม่ ผ่านไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อันเป็นสัญญาณที่ชัดยิ่งว่า
ประการแรก กองทัพยังไม่เห็นด้วยกับการเปิดด่าน จนกว่ากัมพูชาจะสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามประเทศไทย
ประการที่สอง อำนาจการปิด - เปิดด่าน อยู่ในการตัดสินใจของผู้บัญชาการทหารบก ตามมติที่ประชุม สมช.เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568
ประการที่สาม อำนาจปฏิบัติการทางทหารบริเวณแนวชายแดนทั้งหมด เป็นอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก อันเป็นอำนาจทั้งภายใต้กฎอัยการศึก และอำนาจที่มีฉันทานุมัติเป็นมติจากที่ประชุม สมช.
นอกจากทั้ง 3 มาตรการ ที่ประชุมยังหารือและรับทราบแผนสงคราม UAV : Unmanned Aerial Vehicle และ UAS Unmanned Aerial System เพื่อรับมือภัยคุกคามจากกัมพูชา ที่วันนี้สร้างหน่วยรบ UAV ขึ้นมาโดยตรง และล่าสุดยังส่งโดรนสอดแนมเข้ามาลาดตระเวนในพื้นที่สำคัญฝ่ายไทยเป็นระยะๆ
สำหรับความเร่งด่วนในการปฏิบัติ ที่ประชุมมีมติให้กองทัพบก โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี (ศปก.ทภ.2 - กกล.สุรนารี) ร่วมกัน ตั้งศูนย์สงครามอากาศยานไร้คนขับ และกองพันอากาศยานไร้คนขับ วางแผน ควบคุม กำกับดูแล รวมทั้งบูรณาการการใช้งาน UAV โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568-31 มีนาคม 2569
นอกจากนี้ ยังให้เร่งติดตั้งระบบ UAS หรือ ระบบอากาศยาน(ไร้คนขับ (Unmanned Aerial System) ซึ่งเป็นระบบที่สมบูรณ์ และจำเป็น สำหรับการใช้งานโดรน ที่ครอบคลุมตั้งแต่ตัวอากาศยาน ,ระบบควบคุมภาคพื้นดิน (สถานีนักบินระยะไกล), ระบบสื่อสารและสั่งการ, ไปจนถึงอุปกรณ์บรรทุกสัมภาระ (เช่น กล้อง, เซ็นเซอร์) และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ส่วนแผนระยะยาว มอบให้กองทัพอากาศ กำหนด UAS CONOPS: Unmanned Aerial System Concept of Operation หรือ คู่มือการดำเนินงานของระบบอากาศยานไร้คนขับ ที่อธิบาย ภาพรวมการใช้งานระบบอากาศยานไร้คนขับ ว่าระบบจะทำหน้าที่อะไรและจะถูกนำไปใช้ในภารกิจอย่างไร
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ใช้งาน ผู้พัฒนา และผู้ผลิต มีความเข้าใจในวัตถุประสงค์และความสามารถของระบบตรงกัน เพื่อปฏิบัติภารกิจระบบอากาศยานไร้คนขับ-แผนการพัฒนากิจการอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ ระยะ 25 ปี ตั้งแต่ ปี 2566 – 2590
ข้อมูลจากการประชุมระดับ ผบ.เหล่าทัพ ,ว่าที่ ผบ.เหล่าทัพ ,และนายทหารระดับสูง เป็นสัญญาณที่แสดงถึงท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพที่ชัดยิ่ง
และส่งสัญญาณไปถึงใครก็ตาม ที่ได้รับภารกิจให้มาเร่ง “เปิดด่าน” เร่งสานสัมพันธ์กับกัมพูชาว่า หากสถานการณ์ยังไม่มีข้อยุติ หรือกัมพูชา ยังมีท่าทีที่เป็นภัยคุกคามกับประเทศ ก็อย่าหวังว่า การเปิดด่านจะทำได้โดยง่าย
ขณะเดียวกันยังเป็นท่าทีที่ส่งไปยังกัมพูชา ว่า กองทัพพร้อมจะใช้มาตการทางการทหารทันที หากพบข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ เพราะที่ประชุมอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบกสามารถใช้กำลังได้ทันทีตามกฎการปะทะ หรือ ROE กรณีที่พบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ : Hostile Act หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ : Hostile Intent
มาตรการนี้ครอบคลุม แม้แต่พบข้อมูลการเข้ามาสอดแนม เช่น การลอบเข้าลาดตระเวนในเขตใกล้เคียงเขตอธิปไตยของไทย การบินโดรนสอดแนม การจับกุมสายลับที่ลอบเข้ามาแทรกซึมในประเทศ รวมทั้งยังครอบคลุมถึง กรณีพบข้อมูลการเคลื่อนกำลัง การจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อเตรียมโจมตีประเทศไทยด้วย
แม้กระทั่งสงครามทางอากาศ นอกจากกำลังรบทางอากาศแล้ว วันนี้ กองทัพไทยยังพร้อมแล้วที่จะเปิดปฏิบัติการทางเวหาระดับย่อมในสงคราม UAV ที่กัมพูชานำมาใช้ในปฏิบัติการ 5 วัน และยังบินเข้ามาก่อกวน สอดแนม และถ่ายรูปที่มั่นของฝ่ายไทย
ห้วงเวลานับจากนี้ จึงต้องจับตาใกล้ชิดว่า ระหว่างรอยต่อของ ผบ.เหล่าทัพ รอยต่อของการส่งมอบหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 ,แม่ทัพภาคที่ 1 และรอยต่อของกระทรวงกลาโหม รอยต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน และสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม จึงเป็นห้วงเวลาสำคัญ ห้วงเวลาที่จะเร่งเปิดปฏิบัติการให้กัมพูชาสิ้นสภาพความเป็นภัยคุกคามประเทศไทยหรือไม่
หรือจะเร่งกดดันให้กัมพูชา ต้องถอนอาวุธพิสัยไกล อาวุธหนักที่คุกคามประเทศไทย เร่งถอนกำลังทั้งหมดออกจากแนวเผชิญหน้า
ลุ้นไว้ให้ใจระทึก...